วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

คำภาษาโปรตุเกสในหนังสือสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา พ.ศ.2375

โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร

"เอดมัน รอเบด" (Edmund Roberts)

อ้างจากเอกสาร หจช. ร.3/ 1-3 (เอกสารรัชกาลที่3) ลำดับที่3 หนังสือสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา พ.ศ.2375(ถ่ายสำเนาจากเอกสารชุด Siamese Notification of The Treaty with the United States of America , 1833- April 1838 ของหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐอเมริกา พ.ศ.2375-2381)


ในหนังสือสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์ระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา พ.ศ.2375 ซึ่งเขียนเป็นภาษาไทย อังกฤษ โปรตุเกสและจีน เรียกชื่อประเทศสยามขณะนั้นว่า “กรุงพระมหานครศรีอยุทธยา” เรียกชื่อประเทศสหรัฐอเมริกาว่า “อิศตาโด อุนิโด อะเมริกะ” และเรียกชื่อประเทศโปรตุเกสเป็นภาษาไทยว่า “พุทธเกษ” ใจความสำคัญของหนังสือดังกล่าวมีดังนี้

๏ สมเด็จพระพุทธิเจ้าอยู่หัว ณะ กรุงพระมหานครศรีอยุทธยา ทำหนังสือสัญาทางไม้ตรี ค้าขายต่อ อิศตาโด อุนิโด ดา อะเมริกะ แล้ว สมเด็จพระพุทธิเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าโปรด กระหม่อมให้ท่านเจ้าพระยาพระคลังเสนาบดีผู้ใหญ่ทำหนังสือสัญากับ เอดแมน รอเบด[1] ขุนนางซึ่ง อิศตาโด อุนีโด ดา อะเมริกะเมืองมะริกันให้เข้ามาแทนตัว...ไทกับชาตมะริ กันจะได้ไปมาค้าขายถึงกันโดยสุจริตสืบไปชั่วฟ้าแลดิน ไทกับชาติมะริกันทำหนังสือ สัญา ณ วันพุท เดือนสี่ แรมสิบห้าค่ำ ศักราชพันร้อยเก้าสิบสี่ ปีมะโรงจัตวาศก ศักราช ฝรั่งพันแปดร้อยสามสิบสามปี(วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2375)
....ถ้าลูกค้าชาตมะริกันจะบรรทุกศาตราวุธเข้ามาจำหน่าย ณ กรุง ไม่ขายให้กับผู้ใดผู้
หนึ่งจะจำหน่ายให้ในหลวงให้สิ้น...
.....ข้อสาม ลูกค้าชาตมะริกันจะเข้ามาค้าขาย ณ กรุงฯแลหัวเมืองซึ่งขึ้นกับกรุงฯให้ได้
ซื้อขายกันโดยสะดวก...
...ข้อแปด สลุปกำปั่นชาตมะริกัน จะเข้ามาที่ประเทษใดใดภบปะโจรผู้ร้ายสลัดสัตรูที่
แห่งใด คนร้ายจะทำร้ายแก่ชาตมะริกันคนแลของจะตกเข้ามา ณ กรุงฯ แลหัวเมืองที่
ขึ้นกับกรุงฯ กรุงฯจะช่วยชำระให้คืนกลับไป
...ข้อสิบ นานไปเบื้องหน้า ฝรั่งชาตใดภาษาใดนอกจากพุทธเกษจะขอเข้ามาตั้งกงสุ่น
ณ กรุงฯ ถ้ากรุงฯให้โปรดให้ตั้ง ชาตมะริกันจะตั้งกงสุ่น ตามฝรั่งชาตซึ่งโปรดนั้น ๛

ภาษาโปรตุเกสที่ปรากฏอยู่หนังสือสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์ระหว่างไทยกับประเทศสหรัฐอเมริกา พ.ศ.2375 ได้แก่ คำว่า “อิศตาโด อุนิโด อะเมริกะ” ซึ่งตรงกับตัวเขียนเป็นภาษาโปรตุเกสว่า “Estado Unidos da América” และคำว่า “กงสุ่น” นั้น ผู้เขียนยังไม่มีโอกาสตรวจสอบจากเอกสารต้นฉบับเอกสารถ่ายสำเนา แต่ก็อาจพอจะอนุมานในชั้นต้นนี้เทียบได้กับคำว่า “Consul” แปลว่า “นักการทูตซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลของตนให้มีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของพลเมืองตนและช่วยเหลือพลเมืองของชาติตนในต่างประเทศ (a diplomat appointed by a government to protect its commercial interests and help its citizens in a foreign country)
[1] Edmund Roberts

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

1.Four Centuries of Portuguese Expasion,1415-1825: a Succint Survey

บทที่ 1จากเมเกร็บ สู่หมู่เกาะเครื่องเทศ ค.ศ.1415-1521 (From the Maghreb to the Moluccas, 1415-1521 )
by C.R. Boxer (แปลโดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร / ร่างรอขัดเกลาสำนวน อ้างอิงและกำกับภาษาต่างประเทศ)

ฟรานซิสกู ลอเปซ ดึ กอมารา (Francisco López de Gómara) นักประวัติศาสตร์ชาวสเปนในคริสต์ศตวรรษที่ 16 กล่าวถึงการค้นพบเส้นทางการเดินเรือไปสู่หมู่เกาะอินเดียตะวันออกและหมู่เกาะอินเดียตะวันตกของนักสำรวจทางทะเลจากคาบสมุทรไอบีเรียว่า:

“สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกครั้ง นับตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลก ไม่รวมถึงการจุติจากสวรรค์และการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์” [1]

ภาพวาด
ขบวนการเดินทางของขุนนางชาวโปรตุเกส วาดโดยช่างเขียนคนครึ่งชาติอินเดีย-โปรตุเกส ประมาณ ค.ศ.1540 ปัจจุบันอยู่ที่หอสมุดคาซานาเตนซี(Bibl. Casanatense) กรุงโรม บาทหลวง เกฬ ซชูฮัมแมร์(G. Schurmammer SJ.) ผู้ดูแลเอกสารอนุเคราะห์ให้ผู้เขียน(C.R.Boxer)ทำสำเนาเมื่อ ค.ศ.1889

แม้กระทั่งทุกวันนี้ ทั้งชาวคริสต์และผู้ที่นับถือศาสนาอื่นต่างก็เห็นว่า คำกล่าวของกอมาราไม่ไกลจากความจริงแม้แต่น้อย เนื่องจากลักษณะเด่นทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมก่อนการเดินทางสำรวจดินแดนของชาวโปรตุเกสและสเปน คือ การอยู่อย่างกระจัดกระจาย (Dispersion)และโดดเดี่ยว (Isolation) ของมนุษยชาติเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ วัฒนธรรมโบราณซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมสลายในทวีปอเมริกา หรือสังคมของกลุ่มชนในดินแดนส่วนใหญ่ของแอฟริกาและแปซิฟิกต่างก็ดำรงอยู่เหนือการรับรู้ของชาวเอเชียและชาวยุโรปทั้งสิ้น ชาวยุโรปตะวันตกมีความรู้เกี่ยวกับอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของเอเชียและอเมริกาเหนือไม่มากนัก ขณะที่ทั้งชาวเอเชียและแอฟริกาเหนือต่างก็แทบจะไม่รู้จักยุโรปและดินแดนทางใต้ของแอฟริกาที่เรียกว่า “ซูดาน-กาฬทวีป (Dark Continent)” หรือ รู้จักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับทวีปอเมริกาเลย นักบุกเบิกชาวโปรตุเกสและผู้พิชิตดินแดนชาวคาสติลเลียน (The Castilian Conquistadores) จากแผ่นดินชายขอบของคริสตจักร 2 ชาตินี้ เป็นผู้ทำให้มนุษย์ทั่วโลกรู้จักกัน พวกเขาทำให้คนเผ่าต่าง ๆ เกิดสำนึกแห่งการรวมตัวอย่างเป็นเอกภาพ แม้ว่าตอนนั้นจะเห็นได้ยังไม่ชัดเจนนักก็ตาม

ภาพวาด
แสดงให้เห็นถึงการเดินทางของภรรยาของขุนนางชาวโปรตุเกส(Portuguese Fidalgo) วาดโดยช่างเขียนครึ่งชาติอินโด-โปรตุเกส ประมาณค.ศ.1540 ปัจจุบันอยู่ที่หอสมุดคาซานาเทนซี(the Bibl. Casanatense) กรุงโรม
เรามักจะได้รับคำบอกเล่าอยู่เสมอว่า คนจากคาบสมุทรไอบีเรีย โดยเฉพาะชาวโปรตุเกสเป็นชนชาติที่ควรได้รับยกย่องว่า สร้างปรากฏการณ์แห่งการค้นพบเส้นทางการเดินเรือและการสำรวจทางภูมิศาสตร์อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์โลกระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 ประโยชน์จากการค้นพบดังกล่าว คือ การเขียนแผนที่ทางภูมิศาสตร์ในย่านมหาสุมทรแอตแลนติกซึ่งทันสมัยที่สุดขณะนั้นกับการบันทึกลักษณะเฉพาะของชนชาติต่าง ๆ ที่ร่วมต่อสู้กับชาวมัวร์ (Moors) ถึง 800 ปี การปกครองคาบสมุทรไอบีเรียอย่างยาวนานของชาวมัวร์ ทำให้ชาวคริสเตียนจำนวนมากคุ้นเคยกับมโนทัศน์ที่ว่า ชาวมัวร์หรือชาวอาหรับผู้มีผิวพรรณคล้ำกว่าตน เป็นผู้ที่มีสถานภาพทางสังคมสูงกว่า ส่วนสตรีชาวมัวร์ที่มีผิวสีน้ำตาลก็ถูกจัดให้เป็นแม่แบบความงามและความมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหล ค่านิยมเช่นนี้เป็นเรื่องที่บอกเล่าสืบต่อกันมา ดังปรากฏอยู่ในนิทานพื้นบ้าน (Folk Tales) หลายเรื่องที่กล่าวถึงเจ้าหญิงชาวมัวร์ผู้เลอโฉม หรือ “Moura Encantada” นิทานพื้นบ้านเหล่านี้ถูกเล่าต่อกันมาแบบปากต่อปากในกลุ่มชาวนาไม่รู้หนังสือของโปรตุเกส จึงอาจจะกล่าวได้ว่าความเคยชินจากการอยู่ภายใต้การปกครองของชาวมัวร์และความมีเสน่ห์ของหญิงสาวชาวมัวร์ เป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้มีผลผลิตเป็นพลเมืองครึ่งชาติ (Half Breeds) และคนเลือดผสม (Mixed Bloods) ขึ้น และยังเป็นที่มาแห่งการยกเลิกกีดกันผิว หรือ รังเกียจผิว (Colour-bar) ของชาวโปรตุเกสและชาวสเปนในเวลาต่อมา การต่อสู้เพื่อชิงความเป็นใหญ่ระหว่างชาวคริสต์กับชาวมุสลิมเหนือคาบสมุทรไอบีเรียซึ่งกินเวลาหลายร้อยปี มิได้เป็นยุคที่เกิดขึ้นโดยปราศจากการหยุดชะงัก เอล ซิดขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ชาวสเปน(El Cid Campeador พ.ศ.1586-1642) ก็เคยเปลี่ยนข้างมากกว่าหนึ่งครั้ง แม้แต่ในคริสต์ศตวรรษที่13 ชาวคริสต์ มุสลิมและยิวต่างก็เคยเข้าร่วมพิธีทางศาสนาตามความเชื่อของตนในศาสนสถานเดียวกันมากกว่าหนึ่งครั้ง ณ มัสยิด ซานตา มารีอา ลา บลังกา(the Mosque of Santa Maria la Blanca) ที่เมืองตูเลดู(Toledo)เป็นที่น่าสังเกตได้ชัดเจนว่า ข้อถกเถียงเหล่านี้มีฐานะบางอย่างที่จำเป็นต้องนำมาพิจารณา ประการแรก ชาวมัวร์ส่วนใหญ่ที่เคยครอบครองคาบสมุทรไอบีเรียมานานมิได้มีผิวคล้ำกว่าชาวโปรตุเกส เพราะชาวมัวร์เป็นคนเผ่าเบอร์เบอร์มิใช่ชาวอาหรับ หรือ ที่เรียกกันว่า “Blackamoors” แม้ว่าสงครามชิงความเป็นใหญ่ในคาบสมุทรไอบีเรียจะเคยสงบลงชั่วคราวแต่การพักรบดังกล่าวกินเวลาสั้น ๆ ปีที่ชาวคริสต์ ชาวมุสลิม และชาวยิว ร่วมทำพิธีเฉลิมฉลองตามความเชื่อของตนเองอย่างเท่าเทียม ณ เมืองตูเลดู มิได้ทำให้มีการพักรบนานกว่าสัมพันธ์ไมตรีชั่วคราวที่เกิดระหว่างชาวคริสต์กับชาวมุสลิมในเมืองชิชิลี (Sicily)ในรัชสมัยของกษัตริย์เฟรดริก ที่2 (Frederick II ค.ศ.1215-1250) ผู้ทรงมีฉายาว่า “Stupor Mundi” เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ในคริสต์ศวรรษที่ 15 ชาวคริสเตียนส่วนใหญ่จากคาบสมุทรไอบีเรีย มักไม่ละโอกาสที่จะโจมตีความเชื่อทางศาสนาของชาวมุสลิมและยิวเสมอ ขณะที่ชาวมุสลิมและยิวก็มักจะพูดจาดูถูกดูแคลนชาวคริสเตียนเช่นกัน ความเกลียดชังขาดความเห็นใจและไม่เข้าใจกัน เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายแสดงออกต่อชาวต่างชาติต่างศาสนาอย่างรุนแรง ชาวมัวร์ (หมายถึงชาวมุสลิม) ชาวยิวและคนนอกศาสนากลุ่มอื่น ๆ (Gentiles) ต่างก็ถูกตราหน้าจากชาวคริสเตียนว่า จะถูกพิพากษาจากพระเจ้าให้รับทุกข์ทรมานในไฟนรกแห่งโลกหน้า อันสร้างความไม่พอใจให้แก่คนเหล่านี้อย่างยิ่งการไม่รักษาสันติภาพเกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่ายเป็นระยะๆในสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อปราบคนนอกศาสนา กล่าวคือ เมื่อชาวคริสเตียนทำสงครามครูเสด (Crusade) ได้ ชาวมุสลิมก็ทำสงครามจีฮัดได้เช่นกัน ชาวมุสลิมที่เคร่งครัดพระคัมภีร์(the orthodox Muslim) มองชาวคริสเตียน "ผู้หวังจะได้อยู่ร่วมกับพระเจ้า" ด้วยความยึดมั่นในพระตรีเอกนุภาพ (Trinity คือ พระบิดา พระบุตรและพระจิต-ผู้แปล) พระแม่มารีผู้บริสุทธิ์และ(บางนิกาย)บรรดาเหล่านักบุญของพวกเขาด้วยความเกลียดชังยุคกลางของยุโรป(Medieval Europe)ขณะนั้นจัดป็นสถานบ่มเพาะความความเหลวแหลกและหยาบกร้าน ประเทศโปรตุเกสเองก็มิได้มีอารยธรรมสูงส่งเหนือกว่าดินแดนอื่น ๆ เลย ด้วยเหตุนี้อีกห้าร้อยปีต่อมา อีซา ดึ ไกวโรซ (Eça de Queiroz) จึงบรรยายไว้ว่า ลิสบอนเป็นเมืองที่คลาคล่ำไปด้วยชนชั้นขุนนาง ชั้นผู้ดี บาทหลวงที่ล้วนเฉื่อยชาและขาดความสำรวม ชาวไร่ ชาวนาและชาวประมงผู้โง่เขลา ชนชั้นต่ำที่เป็นช่างฝีมือและกรรมกรหาเช้ากินค่ำ คนเหล่านี้ต่างก็งมงายต่อความเชื่อทางศาสนา สกปรกและโหดร้ายทารุณ สิ่งเหล่านี้ประกอบกันขึ้นเป็นชนชั้นต่าง ๆ ในสังคมโปรตุเกสซึ่งสะท้อนภาพให้เห็นโดยนักบุกเบิกและผู้ตั้งถิ่นฐานในอาณานิคม รายละเอียดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดังกล่าวมีอยู่ในบันทึกของเฟอร์เนา ลูเปช(Fernão Lopes) ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องจากโรเบิร์ต ซูทธีย์ (Robert Southey)ว่า "เป็นนักจดหมายเหตุได้ดีที่สุดยากจะผู้ใดหรือคนชาติใดมาเปรียบได้"การยึดครองเมืองซูตา(Ceuta)โดยชาวโปรตุเกสในค.ศ.1415 ถือเป็นก้าวแรกของการขยายอำนาจยุโรปไปยังดินแดนโพ้นทะเล แล้วลงเอยด้วยการเล่นเรือวิกตอเรีย(Victoria)ไปรอบโลกของชาวสเปนระหว่างค.ศ.1519-1522 เดิมทีทั้งชาวโปรตุเกสและชาวสเปนต่างมุ่งมั่นที่จะพิชิตมหาสมุทรแอตแลนติกให้สำเร็จเท่านั้น แต่ความพยายามของนักผจญภัยทั้ง 2 ชาติมิได้ทำให้ความจริงของประวัติศาสตร์โลกเปลี่ยนไปแต่อย่างใด เนื่องจากในอดีตนั้น ชาวไวกิ้งก็เคยเดินทางจากยุโรปไปทวีปอเมริกามาแล้วตั้งแต่ยุคกลางตอนต้น ทว่าการตั้งถิ่นฐานอย่างสันโดษของพวกเขาในกรีนแลนด์ ต้องเลิกล้มไปเมื่อใกล้จะสิ้นคริสศตวรรษ ที่15 เพราะสภาพอากาศที่หนาวจัดและการถูกโจมตีจากชาวเอสกิโม นอกจากชาวไวกิ้งแล้วเรือแกลลีย์ของชาวอิตาเลียนและชาวคาตาแลน ก็เคยแล่นจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเข้าไปผจญภัยในมหาสมุทรแอตแลนด์ติคอย่างห้าวหาญตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่13-ต้นคริสต์ศตวรรษที่14 แต่สิ่งที่พวกเขาค้นหากลับคลุมเครือและสิ่งที่พวกเขาค้นพบก็เห็นได้ไม่ชัด แม้ว่าพวกเขาอาจจะเคยเห็นหมู่เกาะ อะซูรึช (Açores)มาแล้วก็ได้ มีการตั้งคำถามว่าเหตุใดนักเดินทางชาวไอบีเรียนจึงประสบความสำเร็จในการสำรวจเส้นทางการเดินเรือ ขณะที่ก่อนหน้านั้นนักเดินทางชาวเมดิเตอร์เรเนียนกลับพากันล้มเหลว และทำไมโปรตุเกสจึงสามารถก้าวเป็นผู้นำในด้านการเดินเรือทางทะเลได้ทั้ง ๆ ที่นักเดินเรือจากอ่าวบิสเคย์(Biscayan)เองก็มีความกล้าได้กล้าเสียและมีเรือดีพอๆคนชาติอื่นในยุโรป(ถึงนี้)ทุกวันนี้ นักประวัติศาสตร์ยังไม่สามารถให้คำตอบที่เหมาะสมต่อปัญหาข้างต้นได้ แต่อาจจะกล่าวได้อย่างชัดเจนว่า แรงผลักดันหลัก ๆ ของยุคแห่งการค้นพบนั้น สืบเนื่องมาจากการผสมผสานกันระหว่างองค์ประกอบทางศาสนา เศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์ และการดำเนินนโยบายทางการเมือง ปัจจัยเหล่านี้ มิได้ส่งผงชัดเจนเสมอไป และมิได้กระตุ้น จากแรงบันดาลใจ ในการแสวงหาทรัพย์สิน เพื่อนำไปถวายแด่จักรพรรดิแห่งโรมและพระเจ้า อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างตายตัวเสียทีเดียวนัก หรือบางทีจะกล่าวให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าแรงผลักดันสำคัญ 4 ประการที่ทำให้ชาวโปรตุเกส ประสบความสำเร็จ ในการสำรวจทะเลนั้น ประการแรก คือ ความกระตือรือร้น ในการทำสงคราม ครูเสด ประการที่ 2 คือความมุ่งหวังต่อทองคำ แห่งดินแดนกีนี ประการที่ 3 คือการค้นหาอาณาจักรของกษัตริย์ เพรสเตอร์ จอห์น และประการที่ 4 คือ การแสวงหาเครื่องเทศ ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือ โปรตุเกสเป็นราชอาณาจักรแห่งเดียวของยุโรป ที่มีการรวมตัวกันอย่างเป็นเอกภาพ โดยปราศจากสงครามกลางเมืองในคริสต์ศตวรรษ ที่ 15 ขณะที่ฝรั่งเศสอยู่ในระยะสุดท้ายของสงครามร้อยปี นอกจากนี้ ในปีเดียวกับที่โปรตุเกสสามารถยึดครองซูต้า ได้ ก็เกิดสงครามเอจินคอร์ท การขึ้นมามีอำนาจของแคว้นเบอร์กันดี การต่อสู้ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส สงครามดอกกุหลาบ ส่วนสเปนกับอิตาลีก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติและความไม่สงบภายในราชอาณาจักรการยึดครองและครอบงำซูต้าในปี ค.ศ.1415 อาจจะมีสาเหตุมาจากความกระตือรือร้นในการทำสงครามปราบปรามพวกนอกศาสนา เพราะบรรดาเจ้าชายแห่งราชอาณาจักร โปรตุเกสซึ่งมีสายเลือดอังกฤษทรงมีพระราชประสงค์ที่จะได้รับการขนานนามว่า “อัศวินแห่งสนามรบ” จากการทำสงครามอย่างห้าวหาญ อย่างไรก็ดี แรงกระตุกทางเศรษฐกิจและหลักยุทธศาสตร์ก็อาจจะมีส่วนผลักดันใหโปรตุเกสยึดครองซูต้า ได้เช่นดัน เนื่องจากซูต้าเป็นศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจ และเป็นที่ยึดมั่นสำคัญบนฝั่งตรงข้ามกับช่องแคบยิบรอลต้า และขณะนั้นเชื่อกันว่าดินแดนซึ่งอยู่ลึกเข้าไปจากฝั่งทะเลอันเหมาะแก่การเพาะปลูกข้าวโพดนั้นก็เป็นที่หมายปองของชาวโปรตุเกสด้วย เนื่องจากพื้นที่ในโปรตุเกสเองมักประสบปัญหาการขาดแคลนพืชพันธุ์ธัญญาหารอยู่เสมอ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือซูต้าเป็นเมืองท่าศูนย์กลางการค้าทองคำซึ่งถูกนำข้ามทะเลทรายสะฮารราออกมายังชายฝั่งทะเล แม้ว่าก่อนที่โปรตุเกสจะครอบครองซูต้านั้นก็สามารถทำให้ชาวโปรตุเกสได้รับข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับดินแดนของพวกนิโกรแห่งลุ่มแม่น้ำไนเจอร์ตอนบนและลุ่มแม่น้ำ เซเนกัล อันเป็นแหล่งกำเนิดของทองคำที่ถูกน้ำออกไป บางทีจากเหตุผลข้างต้นอาจจะทำให้ชาวโปรตุเกสตระหนักถึงความจำเป็นกับการติดต่อของดินแดนแงพวกนิโกรโดยทางทะเล เพื่อเข้าแทรกแซงการค้าทองคำของบรรดากองเกวียนแห่งสะฮาราโบราณ และพ่อค้าคนกลางชาวมุสลิมแห่งบาร์บารี แรงผลักดันสำคัญที่ทำชาวโปรตุเกสมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น คือความเดือดร้อนอันเนื่องมาจากปัญหาการขาดแคลนโลหะมีค่าทั้งยุโรปตะวันตกและในประเทศโปรตุเกสอย่างรุนแรง เพราะต่าวก็ต้องสูญเสียทองคำและเงินตราจำนวนมากในการซื้อเครื่องเทศและสินค้านำเข้าอื่น ๆ จากเอเชีย นอกเหนือจากปัญหาการตกต่ำจากผลผลิตจากเหมืองทองในยุโรปตอนกลางความเคลื่อนไหวที่ผสมผสานในการขยายอำนาจโปรตุเกสไปยังดินแดนโพ้นทะเล ถูกรับรองอย่างชัดเจนในโองการของพระสันตปาปาโรมานุส ปอนติเฟ็กซ์ เมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ.1455 คำรับรองดังกล่าวเป็นสิ่งผลักดันให้มงกุฏราชกุมาร ดอม เฮนริก หรือเจ้าชายเฮนรีแห่งโปรตุเกสทรงเกิดแรงบันดาลใจในการทำสงครามศาสนา และทรงมุ่งหวังที่จะเดินทางไปยังอาณาจักรเพรสเตอร์ จอห์น อันเร้นลับในอินเดีย ด้วยการแล่นเรือไปรอบ ๆ แอฟริกา โองการของพระสันตปาปา โรมานุสได้รับรองการขยายอำนาจขอแงโปรตุเกสซึ่งแฝงมากับการเคลื่อนไหวทางการค้า โดยอนุญาตให้กษัตริย์โปรตุเกสและผู้สืบราชบัลลังก์ในชั้นหลังมีเอกสิทธิ์ในการผูกขาดทางการค้ากับพลเมืองของดินแดนที่ถูกค้นพบใหม่จากการสำรวจ ภายใต้เงื่อนไขที่มิให้ขายอาวุธ ท้ายที่สุดอาจกล่าวได้ว่า การผลักดันให้มีการสำรวจดินแดนท่างตอนใต้ของแอฟริกาทำให้ชาวโปรตุเกสสามารถอ้างสิทธิ์ในการค้าทาสนิโกรและเครื่องเทศได้ด้วย นอกเหนือจากการแสวงหาทองคำแห่งกินี ละการค้นหาอาณาจักรของกษัตริย์เพรสเตอร์ จอห์น การแสวงหาเครื่องเทศได้ทวีความสำคัญยิ่งขึ้น ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายเฮนรีในปี 1460 ขณะที่การค้าทาสในแถบแอฟริกาตะวันออกนั้นมีความมั่นคงอยู่ก่อนแล้ว

การเดินทางอันนำไปสู่การค้นพบดินแดนและการค้าตามชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกาของชาวโปรตุเกสเริ่มต้น ในปี 143 แล้วเติบโตอย่างเต็มที่ในช่วง 8 ปี แห่งการสำเร็จราชการของเจ้าชาย เปโดร พระเชษฐาของ เจ้าชายเฮนรี และภายหลัง เจ้าชายเปโดรก็ได้รับยกย่องว่าเป็นนักเดินเรือ แต่กระนั้น ประชาชนก็ยังยอมรับการดำเนินพระราชกรณียกิจอย่างทุ่มเทของเจ้าชายเฮนรีมากกว่าในช่วง 2-3ปีแรกของการดำเนินการ โดยได้รับการสนับสนุนจากการเงินจากรายได้ส่วนใหญ่ของศาสนาจักรแห่งโปรตุเกส กลุ่มพ่อค้าในกรุงลิสบอนเองก็มีส่วนร่วมในการลงทุนและวางแผนการเดินเรือตั้งต่ ค.ศ.1470-1475 พ่อค้าชาวลิสบอนถูกบังคับให้อยู่ภายใต้หลักการแห่งสัญญาผูกขาดเอกสิทธิ์ทางการค้าที่ เฟอร์เนา กูมส์ ได้ทำไว้ การดำเนินงานของกูมส์ ทำให้ชายฝั่งอันเหยียดยาวของกินีถูกเปิดกว้างสำหรับการลงทุน แม้จนบัดนี้ก็ยังไม่ทราบว่าทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์หรือศาสนาจักรโปรตุเกสมีจำนวนเท่าใด แต่เราอาจจะกล่าวได้ว่าหากปราศจากการริเริ่ม การวางแผน การจัดการ แล้ว ปรากฏการณ์ต่าง ๆ คงจะไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ เลย เป้าหมายที่แน่นอนและการสนับสนุนอย่างจริงจังนั่นเองที่ทำให้โปรตุเกสก้าวนำหน้าสเปนและคู่แข่งชาติอื่นได้พ่อค้าสเปนคัดค้านพระบัญชาของสันตปาปาที่อนุญาตให้พ่อค้าโปรตุเกสผูกขาดการค้าแถบชายฝั่งแอฟริกาตะวันตกได้เพียงชาติเดียว แต่ก็ประสบความล้มเหลว เพราะนักแสวงโชคเหล่านี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์สเปนดังเช่นโปรตุเกสการเดินทางของนักเดินเรือไปยังชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกามิใช่เรื่องยากเย็น แต่ก็ไม้มีผู้ใดรู้จักเส้นทางอันน่าสะพึงกลัวในแถบนั้นอย่างแท้จริงนับจากปี 1443 เป็นต้นมา กลาสีชาวโปรตุเกสได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ประยุกต์เอาใบเรือรูปสามเหลี่ยมจากกลาสีเรือชาวอาหรับ การปรับปรุงข้างต้นทำให้เรือ คาราเวลมีรูปแบบทันสมัยที่สุดที่โปรตุเกสใช้ในการสำรวจดินแดนทางตอนใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติกการเดินเรืออกไปทางตอนใต้และมุ่งสู่มหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันตกนั้น อาศัยความเชี่ยวชาญในการเรืออันเกิดจากการผสมผสานการค้นพบความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของชาวกรีก ซึ่งเป็นการวางรากฐานวิทยาศาสตร์ด้านการเรือสมัยใหม่ให้แก่ชาวโปรตุเกส ครั้นสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 15 บรรดานักเดินเรือก็สามารถกำหนดตำแหน่งในทะเลของตนเองได้อย่างถูกต้อง โดยสังเกตจากเส้นละติจูดและการคำนวณที่แม่นยำพอสมควรของนักเดินเรือ ปัจจัยดังกล่าวทำให้ชาวโปรตุเกสสามารถครองความเป็นหนึ่งในการเดินเรือไปยังชายฝั่งแอฟริกาตะวันตกได้แต่เพียงผู้เดียว เครื่องมือสำคัญในการเดินเรือ คือ เข็มทิศชาวเรือ ซึ่งชาวโปรตุเกส อาจจะได้รับมากจากชาวจีนถึงกระนั้นคนนำร่องทะเลลึกชาวโปรตุเกสจำนวนมากก็ยังคงเชื่อมั่นในความรู้ส่วนใหญ่ที่มาจากการเรียนรู้ อาทิ การสังเกตความแตกต่างของสีและการเคลื่อนไหวของน้ำทะเล ก่อนยุคแห่งการค้นพบจะนำไปสู่การสำรวจและการตั้งถิ่นฐานในอาณานิคมที่เกาะมาเดร่าเมื่อประมาณ ค.ศ.1420 ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับดินแดนในภาคพื้นมหาสมุทรแอตแลนติกจำกัดอยู่เพียงหมู่เกาะคานารีและ แหลมนันเท่านั้น

มีเรื่องที่ยังถกเถียงกันอยู่ คือ ชาวโปรตุเกสจะทราบมาก่อนบ้างหรือไม่ว่า ก่อนที่บาร์โตโลมิว ไดแอส จะออกเดินเรือสำรวจในปี ค.ศ.1487-1488 นั้น กระแสลมในภูมิภาคแถบแอตแลนติกใต้มีทิศทางการพัดทำมุมเป็นรูปสามเหลี่ยมกับลมที่พัดมาจากซีกโลกเหนือ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์สำคัญอันเปรียบเสมือนกุญแจที่ช่วยให้เขาสามารถเปิดเส้นทางสู่อินเดียในช่วงเวลานี้เองที่มีชาวโปรตุเกสจำนวนมากเริ่มเดินเรือ จากหมู่เกาะอะซอเรสทางทิศตะวันตกเช่นกัน แต่ก็ไม่ปรากฏรายละเอียดอันเชื่อถือได้เกี่ยวกับการมีชีวิตรอด สิ่งที่จะทำให้กล่าวได้ดีที่สุดเท่าที่ความรู้ของเราจะอำนวยให้ก็คือ การสันนิษฐานว่าบางทีพวกเขาอาจจะสงสัยขึ้นมาว่า ทางทิศตะวันตกของหมู่เกาะอะซอเรส คงจะมีภาคพื้นทวีปหรือหมู่เกาะตั้งอยู่ จึงผลักดันให้พวกเขาเดินทางไปยังทิศนั้นก็เป็นได้ปรากฏการณ์ที่มีความสำคัญ คือ การเดินทางสำรวจแอฟริกาโดยใช้เส้นทางทางบก ของ เปโร ดึ โควิลยา เขามีเพื่อนร่วมเดินทางชื่อ อัฟฟองโซ เดอ เปวา แต่การเดินทางของเขากลับประสบความล้มเหลว ขณะที่โควิลยาประสบความสำเร็จในการเดินทางอย่างน่าประหลาดใจ เขาสามารถเดินทางไปถึงดินแดนชายฝั่งมะละบาร์ของอินเดีย อ่าวเปอร์เชีย จนถึง โซฟาลา จากนั้นจึกวางแผนเดินทางกลับโปรตุเกส แต่เมื่อเดินทางไปถึงไคโร เขาก็ได้ทราบข่าวการตายของ อัฟฟองโซ เดอ เปวา ดังนั้น เมื่อเขาได้รายงานผลการสำรวจดินแดนต่าง ๆ เขาจึงมุ่งหน้าออกเดินทางสู่อะบิสสิเนียซึ่งอยู่ทางใต้ต่อไปด้วยความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ๆ ได้รับมอบหมาย และเขาก็สามารถบากบั่นไปจนถึง เอธิโอเปีย และได้ค้นพบ อาณาจักรของเพรสเตอร์ จอห์น แต่ทว่ากษัตริย์แห่งลัทธิคอปติกทรงปฏิเสธที่จะให้เขาเดินทางออกจากเอธิโอเปียผลที่ตามมาจากการรายงานการสำรวจของบาร์โตโลมิว ไดแอส และเปโร ดึ โควิลยา ทำให้กษัตริย์ดอม จูอาวที่ 2 ทรงเชื่อว่า เส้นทางการเดินเรือไปสู่อินเดียได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว เรื่องราวการเดินทางไปถึงเอเชียอย่างบังเอิญของโคลัมบัสส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อแผนการสำรวจทางทะเลซึ่งกษัตริย์ดอม จูอาว ได้วางไว้ แต่ในเวลาต่อมา ก็ทรงมั่นใจให้โคลัมบัสเดินทางไปถึงนั่น ไม่ใช้หมู่เกาะอินเดียตะวันออก อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งเรื่องสิทธิการครอบครองดินแดนอันถูกค้นพบใหม่กับกษัตริย์สเปนก็ได้ยุติลงด้วยสัญญาทอเดสซิลลัส ส่งผลให้กษัตริย์ทั้ง 2 ต้องแบ่งเขตอิทธิพลเหนือดินแดนอาณานิคมของทั้ง 2 ประเทศตามพระราชโองการของสันตปาปา หลังจากนั้นกษัตริย์ดอม จูอาว จึงทรงเตรียมแผนการนำเรือออกสำรวจดินแดนต่าง ๆโดยให้อยู่ภายใต้การนำของ วาสโก ดา กามากษัตริย์มานูเอลที่ 1 ผู้ทรงได้รับการขนานนามว่า “มานูเอลผู้โชคดี” ได้ทรงเริ่มดำเนินการสำรวจทางทะเลโดยทรงสนับสุนการเดินทางของ วาสโก ดากามา ระหว่าง ค.ศ.1475-1499 การเดินทางของดา กามา ครั้งนั้นได้นำเอาประสบการณ์อันมากมายจากการเดินเรือของ บาร์โตโลมิว ไดแอส มาใช้ให้เกิดประโยชน์ หาก ดากามา มิได้ศึกษาผลงานของไดอส หรือนักเดินทางในย่านแอตแลนติกใต้แล้ว การเดินทางให้ไปถึงละติจูดที่ตั้งของเซียร่า เลโอน ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปใน “ทะเลหลวง” จนถึงแนวที่เส้นทางการค้าพาดผ่าน เขาคงจะแล่นเรือเทียบชายฝั่งห่างจากแหลมกู๊ดโฮ๊ปไปทางแนวตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 80 ไมล์อย่างแน่นอนภายหลังการเดินทางอ้อมแหลมกูดโฮปและแวะเยี่ยมเยียนเมืองท่าหลายแห่งของชาวอาหรับ เผ่าสวาฮิลี ก็ได้เดินเรือไปถึงเมืองมาลินดี อันเป็นสถานที่ซึ่งเขาได้รับความช่วยเหลือจากอาหมัด-อิบน์-มัดจิด คนนำร่องชาวอาหรับผู้มีชื่อเสียงที่สุดในโลกในยุคนั้น และช่วยให้ วากโก ดากามา ให้สามารถเดินทางถึงเมืองกาลิกัต อันเป็นเมืองท่าสำคัญของศูนย์กลางการค้าพริกไทยบนชายฝั่งมะละบาร์โดยสวัสดิภาพ ผลสำเร็จจากการเปิดเส้นทางการเดินเรือครั้งนี้ได้ถูกนักประวัติศาสตร์คนสำคัญชาวอินเดีย เรียกว่า ยุคแห่งอำนาจทางทะเล อันเป็นยุคที่อำนาจทางทะเลอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวยุโรปเท่านั้นเมื่อชาวโปรตุเกสเดินทางไปถึงเมืองกาลิกัต ปรากฎว่าพ่อค้าชาวตูนิเซียน บางคนซึ่งยืนปะปนอยู่กับฝูงชนได้ร้องถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า อะไรทำให้พวกเขาเดินทางมาไกลจนถึงเพียงนี้ กล่าวกันว่าลูกเรือของ ดา กามา ได้ตอบกลับไปว่า “การแสวงหาชาวคริสเตียนและเครื่องเทศ” คำตอบดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงรากเหง้าแห่งแรงบันดาลที่ผลักดันให้ชาวโปรตุเกสออกเดินทางสำรวจภายหลังการยึดครองเมืองซูต้า การเผยแพร่ศาสนาคริสต์และการแสวงหาเครื่องเทศเป็นความหวังสำคัญที่ตั้งไว้ในการสำรวจ เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงอินเดีย ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างความศรัทธาต่อพระเจ้าและความมั่งคั่งในทรัพยน์สิน ( GOD AND MAMMON) คือ หัวใจแห่งการสร้างสรรค์จักรวรรดิของชาวโปรตุเกสในเอเชียแอฟริกา และบราซิลนั่นเองต้องขอบคุณสำหรับการปราศจากความเข้มแข็งแห่งอำนาจทางทะเลของชาวเอเชีย (ยกเว้นจักรพรรดิจีนผู้รักสันโดษ และได้หันหลังให้กับการขยายอำนาจทางทะเลเมื่อสักประมาณ 2-3 ทศวรรษก่อนหน้านั้น) ที่ทำให้ชาวโปรตุเกสสามารถขยายอำนาจครอบคลุมน่านน้ำแถบมหาสมุทรอินเดียได้เพียงผู้เดียวด้วยความรวดเร็วอย่างน่าประหลาดใจ การสร้างสรรค์รากฐานแห่งจักรวรรดิของพวกเขาในภูมิภาคแถบเอเชียอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ อัฟฟองโซ เดอ อัลบูเคอร์ก บุคคลผู้นี้ได้ช่วงชิงเอาเมืองกัว มาจาสุลต่านมุสลิมแห่งพิชปุระ เมื่อปี ค.ศ.1510 อัลบูเคอร์กได้ตั้งเมืองกัวเป็นกองบัญชาการใหญ่ของโปรตุเกสในเอเชีย ภาระกิจอันยุ่งยากได้สำเร็จลงอย่างค่อนข้างง่ายดายเนื่องจากพลเมืองส่วนใหญ่ของเมืองกัวเป็นชาวฮินดู ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมิได้มีเยื่อใยผูกพันต่อผู้ปกครองชาวมุสลิมการยึดครองมะละกาในปี ค.ศ.1511 ทำให้อัลบูเคอร์กสามารถรักษาเมืองท่าศูนย์กลางการค้าเครื่องเทศและจุดยุทธศาสตร์ของทะเลจีนใต้และอินโดนีเซีย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมะละกาเป็นศูนย์กลางทางการค้ามาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 เทียบเท่ากับความสำคัญของสิงคโปร์ในปัจจุบันเลยทีเดียว การยึดครองเมืองเฮอร์มุซในอ่าวเปอร์เซียเมื่อปี ค.ศ.1515 ทำให้อัลบูเคอร์กสามารถควบคุมน่านน้ำเหล่านั้นและเส้นทางการค้าเครื่องเทศหนึ่งในสองสายที่ค้าขายกับเมืองต่าง ๆ แถบเลฟวอนท์ได้ อัลบูเคอร์กมีความพยายามที่จะปิดกั้นเส้นทางการค้าเครื่องเทศอีกสายหนึ่งด้วยการยึดครองเมืองเอเดน และแม้ว่าการทำงานของเขาจะไม่ถึงกับล้มเหลว โดยทำให้โปรตุเกสสามารถแล่นเรือเข้าสู่ทะเลแดงได้ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่เคยประสบความสำเร็จในกาปิดกั้นเส้นทางการค้าของชาวมุสลิมได้อย่างแท้จริงในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 การค้าในแถบมหาสมุทรอินเดียล้วนแต่อยู่ในกำมือของพ่อค้ามุสลิมซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับและชาวกุชราติส แต่ชาวโปรตุเกสได้ขจัดพ่อค้ามุสลิมบางส่วนออกไปอย่างรวดเร็ว แบะได้บังคับพ่อค้ามุสลิมส่วนใหญ่ให้อยู่ภายใต้การแกครองของตน การควบคุมชายฝั่งทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกาให้เกิดความมั่นคงได้จำเป็นต้องมีการสร้างป้อมค่ายขึ้นที่เมืองโซฟาลา และเมืองโมแซมบิก ส่วนทางตอนเหนือของแหลมเดลกาโดนั้น ชาวโปรตุเกสจำเป็นต้องอาศัยความซื่อสัตย์ที่ได้รับจากสุลต่านแห่งเมืองมาลินดี ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ที่สุดของโปรตุเกสชาวเผ่าสวาฮิลีจนกระทั่งสามารถก่อตั้งป้อมเจซัสที่เมืองมอมบาซาแล้วเสร็จในช่วงสิบปีสุดท้ายของคริสต์ศวรรษที่16ระยะแรก ๆ ความยิ่งใหญ่ทางทะเลของโปรตุเกสในมหาสมุทรอินเดียเกิดขึ้นจากชัยชนะครั้งที่สำคัญของฟรานซิสโก เดอ อัลเมดา ที่มีเหนือกองเรือของชาวอียิปต์ที่เมืองดิว ในปี ค.ศ.1509 หลังจากนั้นอำนาจของโปรตุเกสก็ไม่เคยถูกท้าทายจนถึงขั้นน่าวิตกเลย จนกระทั่งการปรากฎตัวของชาวดัทช์และชาวอังกฤษในมหาสมุทรอินเดียเมื่อประมาณร่วมหนึ่งร้อยปีต่อมาบรรดาผู้นำชาวมุสลิมแห่งอียิปต์และตุรกีต่างก็ถูกขัดขวางอย่างรุนแรงเป็นระยะ ๆ เมื่อพยายามที่จะสร้างกองเรือขึ้นมาใช้แล่นในมหาสมุทรอินเดีย ไม้ซุงจำนวนมากที่ถูกนำมาวางเรียงรายบนชายฝั่งของทะเลแดงและชายฝั่งทะเลของอ่าวเปอร์เซียมักจะสูญหายไปเป็นประจำ เรือสินค้าของชาวอาหรับที่แล่นอยู่ในย่านนั้นหากไม่ถูกต่อขึ้นด้วยไม้จากอินเดียก็ต่อจากไม่จากชายฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา อันเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าที่ถูกนำกลับมา ปัจจัยดังกล่าวทำให้ชาวเม็มลูกส์ และชาวอ็อตโตมันส์ เกิดความวิตกกังวล ดังนั้น ในเวลาต่อมาไม้ซึ่งจะถูกนำมาใช้ในการต่อเรือแถบดินแดนชายฝั่งตะวันออกของเมืองสุเอช และเมืองบัสรา จึงต้องถูกบรรทุกข้ามมาตามภาคพื้นทวีปจากป่าทอรัส ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับชายฝั่งทะเลของซีเรีย การขนส่งไม้จากบริเวณดังกล่าวไปยังเมืองสุเอชและเมืองบัสรานั้นเต็มไปด้วยความยุ่งยากและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูงมาก และสงครามบรภาคพื้นทวีปที่กำลังโรมรันพันตูระหว่างพวกนิกายสุหนี่แห่งตรกีกับพวกชีอะห์แห่งเปแร์เซีย ก็ยิ่งเพิ่มอุปสรรคในการขนส่งไม้ให้มีมากขึ้นด้วย ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชางเตอร์กได้ใช้ความพยายามในการสร้างกิงเรือในมหาสมุทรอินเดียเพียงสี่ครั้งเท่านั้น แต่บรรดาเรือที่พวกเขาสร้างขึ้นจากความอุตสาหะอันยาวนานเพื่อใช้แล่นในน่านน้ำแถบนั้นก็มักจะถูกโจมตีและทำลายจนอับปางเสียทุกครั้งจากฝีมือของชาวโปรตุเกสนั่นเองเวลาต่อมา ป้อมทหารในจุดยุทธศาสตร์สำคัญสามแห่งของโปรตุเกสที่เมืองกัว เมืองฮอร์มุซ และเมืองมะละกา ก็ได้ถูกเสริมให้มั่นคงมากขึ้นจากแหล่งตั้งถิ่นฐานที่มีป้อมค่ายและสถานีการค้าจำนวนมาก เรียงรายตั้งแต่เมืองโซฟาลาทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา มาจนถึงเมืองเทอเนต ในหมู่เกาะโมลุกกะ นอกจากนี้ ชาวโปรตุเกสยังได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานและสถานีการค้าหลายแห่งโดยไม่มีป้อมค่ายในบางภูมิภาค ซึ่งผู้ปกครองชาวพื้นเมืองหรือขุนนางชาวพื้นเมืองอนุญาตให้พวกเขามีสิทธิพิเศษเหนืออาณาเขต ระดับหนึ่งอาทิ สิทธิพิเศษที่ได้รับจากผู้ปกครองในเมืองเซา โตเม่ แห่งเมเลียเปอร์ บนชายฝั่งโคดรมันเดล เมืองฮู้กลี ในอ่าวเบงกอลและเมืองมาเก๊าในจีน ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1555-1557 บนดินแดนปากแม่น้ำเพิร์ลสำหรับในมหาสมุทรอินเดียและในอ่าวเปอร์เซียนั้น ชาวโปรตุเกสได้ควบคุมเส้นทางการค้าแถบลมมรสุมอย่างได้ผล ด้วยเหตุนี้ กษัตริย์มานูเอลที่ 1 สำหรับในเมืองท่าอื่น ๆ นั้น การเดินเรือสินค้าของชาวพื้นเมืองได้รับอนุญาตให้แล่นขึ้นล่องได้ดังเดิม โดยมีเงื่อนไขว่า เจ้าของเรือจะต้องจ่ายเงินซื้อใบอนุญาตอาจจะถูกยึดหรือถูกจมทิ้งได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเรือเหล่านั้นเป็นของพวกพ่อค้าชาวมุสลิมสภาพการณ์ทางด้านตะวันออกของมะละกา มีความแตกต่างไปจากเนื้อหาข้างต้น กล่าวคือ เรือสินค้าของโปรตุเกสสามารถแล่นไปยังหมู่เกาะเครื่องเทศ ตลอดจนถึงน่านน้ำของอินโดนีเซียได้โดยปราศจากการท้าทาย แต่เมื่อชาวโปรตุเกสพยายามจะใช้วิธีการแข็งกร้าวตามแถบชายฝั่งทะเลของจีน พวกเขาต้องประสบกับความปราชัยอย่างยับเยินจากการรบกับกิงเรือพิทักษ์ชายฝั่งของจีน นอกจากมะละกาแล้ว ชาวโปรตุเกสได้ดำเนินการเพียงดำรง ความอยู่รอดของรูปแบบทางการค้าและความสัมพันธ์กับดินแดนอื่นเท่านั้น ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่พวกเขาจะต้องแข่งขันทางการค้ากับชาวสเปน ผู้ซึ่งมีเป้าหมายเช่นเดียวกับโปรตุเกสแต่ใช้เส้นทางการเดินเรือไปยังอีกทิศทาวงหนึ่ง โดยในเวลานั้นชาวสเปนตระหนักแล้วว่าสิ่งที่โคลัมบัสค้นพบ มิใช่อาณาจักรคาเธย์ และชิปังกุ ตามที่มาร์โค โปโลได้บรรยายไว้อย่างมีชีวิตชีวา และก่อนที่ชาวสเปนจะค้นพบขุทรัพย์ของชาวแอซเต็ก แห่งเม็กซิโก และขุมทรัพย์ของชาวอินคา แห่งเปรูนั้นเป้าหมานสำคัญประการหนึ่งของชาวสเปนก็คือ การเดินเรืออ้อมหรือข้ามทวีปอเมริกาซึ่งเพิ่งจะถูกค้นพบ เพื่อเดินทางไปยังแหล่งค้าไหม เงิน และเครื่องเทศของเอเซียตะวันอก ท้ายที่สุดชาวสเปนก็ได้รับสิ่งที่อาจเรียกได้ว่ามีความสำคัญยิ่วกว่าการเดินทางครั้งใด ๆ ทั้งสิ้นหลังจากที่ได้แล่นเรือข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างง่ายดายไปถึงหมู่เกาะเครื่องเทศอันเป็นสถานที่ซึ่งบุคคลทั้งสองรู้จักเป็นอย่างดีจากประสบการณ์ที่เคยใช้ชีวิตโลดแล่นอยู่ในน่านน้ำของมาเลย์แม้ว่า เดล กาโน จะไม่สามารถแลนเรือกลับไปยังเมืองเซวิลล์ ได้สำเร็จภายหลังการบรรทุกเครื่องเทศขึ้นจากเกาะทีดอเร แต่ก็อาจจะกล่าวได้ว่าความตั้งใจและวัตถุประสงค์ในการเดินทางรอบโลกได้สำเร็จลุล่วงเป็นครั้งแรกแล้วในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เมื่อชาวโปรตุเกสและชาวสเปนเดินเรือมาบรรจบกันที่หมู่เกาะเครื่องเทศ การเดินเรือสำรวจทางทะเลซึ่งเริ่มขึ้นที่เมเกร็บในปี ค.ศ.1415 ได้นำมาซึ่งชัยชนะแห่งการค้นพบหมู่เกาะโมลุกกะในปี ค.ศ.1521 อย่างงดงามและก่อนหน้านั้นเพียงปีเดียว คณะทูตโปรตุเกสจากอินเดียก็ประสบความสำเร็จในการติดต่อกับอาณาจักรของกษตริย์เพรสเตอร์ จอห์น อันเป็นดินแดนซึ่ง เปโร เดอโควิลยาได้ไปใช้ชีวิตในบั้นปลายของเขาอย่างมีเกียรติ และนับตั้งแต่บัดนั้นชื่อเสียงของอะบิสสิเนีย ก็ได้ถูกเรียกขานกันทั่วไปจักรวรรดิโปรตุเกสในทวีปเอเชียและแอฟริกา รวมทั้งอาณานิคมบางส่วนที่ขยายเข้าไปในบราซิล ซึ่งถูกค้นพบเมื่อ ค.ศ.1500 และดินแดนชายฝ่งทะเลอื่น ๆ ที่ชาวโปรตุเกสได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานในภายหลัง เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ทางการค้าและอำนาจทางทะเลของโปรตุเกสว่า เกิดจากการถูกหล่อหลอมด้วยเป้าพิมพ์ทางการทหารและความศรัทธาทางศาสนา ผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสแห่งเมืองกัวในอินเดีย มักจะเป็นบุคคลที่ถูกคัดเลือกจากบรรดาเหล่าผู้ดีหรือขุนนางที่มีอาชีพเป็นนายทหาร เพราะเขาจะเป็นทั้งผู้บัญชาการป้อมปืนและข้าหลวงใหญ่ของอาณานิคมโปรตุเกส การดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการที่เมืองกัวถูกกำหนดไว้คราวละ 3 ปี และเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า บรรดาผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์โปรตุเกสให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ มักจะถือโอกาสใช้ตำแหน่งของตนในการแสวงหาผลประโยชน์บรรดาทหารข้าราชการทั้งหมดต่างก็ได้รับค่าจ้างและเบี้ยเลี้ยงตอบแทนจากกษัตริย์โปรตุเกส แต่พระราชทรัพย์นั้นก็ไม่อาจจ่ายให้แก่พวกเขาได้อย่างเพียงพอ หรือแม้แต่จ่ายได้เป็นระยะ ๆ อย่างสม่ำเสมอก็ตาม สาเหตุดังกล่าวนี้ส่งผลทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนตั้งแต่ผู้สำเร็จราชการแห่งเมืองกัว ตลอดจนถึงเด็กรับใช้ในเรือสินค้า ต่างก็ต้องมกหาลู่ทางในการเพิ่มรายได้พิเศษของตนเองด้วยการค้าขายของและแลกเปลี่ยนสินค้าอีกทางหนึ่งด้วย ดังนั้น ผู้ชายโปรตุเกสทุกคนในอาณานิคมของฦโปรตุเกสในเอเชีย หากไม่กลายเป็นพ่อค้าเต็มตัวก็เป็นพ่อค้าสมัครเล่น สภาวการณ์ดังกล่าวข้างต้นส่งผลกระทบต่อบาทหลวงและนักบวชซึ่งเป็นกลุ่มที่ไดรับค่าครองชีพเป็นสินค้าโดยตรงจากรัฐบาล จึงมีบาทหลวงอยู่เพียงไม่กี่คนที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยศรุทธาอันค่อนข้างแรงกล้า จนกระทั่งหลังจากบาทหลวงคณะเยซูอิต เดินทางเข้ามา ในปี ค.ศ.1541 พวกเขาจึงได้ยกระดับและทำนุบำรุงมาตรฐานทางศาสนาให้สูงขึ้นกว่าเดิม แต่ความตกต่ำในการครองตนของบาทหลวงและนักบวชทั่วไปหลับมิได้เป็นอุปสรรคต่อการได้รับความเคารพนับถือทั้งจากกษัตริย์โปรตุเกสและเจ้าหน้าที่ของทางการและพลเมืองชาวอินโด โปรตุเกส ทั้งหลายแม้แต่น้อยทั้งนี้เพราะมีจารีตเก่าแก่ของชาวลูซิตาเนียนกล่าวไว้ว่า “ถึงจะมีบาทหลวงที่จัดว่าเลวที่สุด ก็ยังนับว่าประเสริฐกว่าสัปบุรุษที่ดีเลิศหลายคน”เราไม่ทราบว่าแท้ที่จริงแล้วพลเมืองชาวโปรตุเกสในดินแดนโพ้นทะเลระหว่างคริสต์ศตวรรษที่16-17 มีจำนวนเท่าใด แต่ดูเหมือนว่าผู้ชายชาวโปรตุเกสที่สามารถจับอาวุธได้ ซึ่งประจำการหรือตั้งหลักแหล่งอยู่ในนครรัฐแห่งอินเดีย คงจะไม่เคยมีจำนวนเกินระหว่าง 6000-7000 คนอย่างแน่นอน ครึ่งหนึ่งของชายฉกรรจ์เหล่านี้มักจะเป็นพวกหนีทัพหรือเข้าไปตั้งหลักแหล่งอยู่ในอาณาจักรของกษัตริย์พื้นเมืองต่าง ๆอาทิเช่น จีน พะโค สยาม โอริสสา และเบงกอล พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้สำเร็จราชการแห่งกัว เช่นกัน นอกจากนี้แล้วยังมีชาวโปรตุเกสออกไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในแอฟริกาตะวันตก มอร็อกโก และบราซิล ประมาณ 2000-3000 คน แต่อัตราการล้มตายจากผลของสงครามกลับมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้น ในคริสตศวรรษที่ 16 บรรดาชายฉกรรจ์ชาวโปรตุเกสที่ออกไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ตลอดจนถึงหมู่เกาะโมลุกกะจึงมีจำนวนไม่น่าจะเกิน 10000 คน ขณะที่พลเมืองชาวโปรตุเกสที่อยู่ในประเทศแม่ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้มีประมาณหนึ่งล้านคน และการอพยพออกไปจากโปรตุเกสซึ่งเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอคราวละมาก ๆ นั้น มีความจำเป็นต่อการลดช่องว่างโปรตุเกสซึ่งเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอคราวละมาก ๆ นั้น มีความจำเป็นต่อลดช่องว่างอันเกิดจากการสูญเสียพลเมืองในอาณานิคมเขตร้อนเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้เปรียบเทียบสัดส่วนของชาวโปรตุเกสที่อกไปตั้งถิ่นฐานในโพ้นทะเลเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 แล้ว ปรากฎว่าผู้หญิงชาวโปรตุเกสอพยพออกจากประเทศโปรตุเกสน้อยมาก และพวกเธอส่วนใหญ่จะอพยพไปยังบราซิลทั้งสิ้นในที่สุดเมื่อชาวโปรตุเกสเดินทางไปถึงเมืองกาลิกัต ปรากฎว่าพ่อค้าชาวตูนิเซียน บางคนซึ่งยืนปะปนอยู่กับฝูงชนได้ร้องถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า อะไรทำให้พวกเขาเดินทางมาไกลจนถึงเพียงนี้ กล่าวกันว่าลูกเรือของ ดา กามา ได้ตอบกลับไปว่า “การแสวงหาชาวคริสเตียนและเครื่องเทศ” คำตอบดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงรากเหง้าแห่งแรงบันดาลที่ผลักดันให้ชาวโปรตุเกสออกเดินทางสำรวจภายหลังการยึดครองเมืองซูต้า การเผยแพร่ศาสนาคริสต์และการแสวงหาเครื่องเทศเป็นความหวังสำคัญที่ตั้งไว้ในการสำรวจ เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงอินเดีย ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างความศรัทธาต่อพระเจ้าและความมั่งคั่งในทรัพยน์สิน ( GOD AND MAMMON) คือ หัวใจแห่งการสร้างสรรค์จักรวรรดิของชาวโปรตุเกสในเอเชียแอฟริกา และบราซิลนั่นเอง

ขอบคุณที่อำนาจทางทะเลของชาวเอเชียปราศจากความเข้มแข็ง (ยกเว้นจักรพรรดิจีนผู้ทรงรักสันโดษ และหันหลังให้กับการขยายอำนาจทางทะเลเมื่อประมาณประมาณ 2-3 ทศวรรษก่อนหน้านั้น) ทำให้ชาวโปรตุเกสสามารถขยายอำนาจครอบคลุมน่านน้ำแถบมหาสมุทรอินเดียได้เพียงผู้เดียวอย่างรวดเร็วอย่างจนน่าประหลาดใจ การสร้างสรรค์รากฐานแห่งจักรวรรดิของพวกเขาในภูมิภาคแถบเอเชียอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ อัฟฟองซู ดึ อัลบูแกร์กึ ซึ่งได้ช่วงชิงเอาเมืองกัวมาจากสุลต่านมุสลิมแห่งพิชปุระเมื่อ ค.ศ.1510 อัลบูแกร์กึได้ตั้งเมืองกัวเป็นกองบัญชาการใหญ่ของโปรตุเกสในเอเชีย ภารกิจอันยุ่งยากสำเร็จลงอย่างค่อนข้างง่ายดาย เนื่องจากพลเมืองส่วนใหญ่ของเมืองกัวเป็นชาวฮินดู ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมิได้มีเยื่อใยผูกพันต่อผู้ปกครองชาวมุสลิม การยึดครองมะละกาในปี ค.ศ.1511 ทำให้อัลบูแกร์กึสามารถรักษาเมืองท่าศูนย์กลางการค้าเครื่องเทศและจุดยุทธศาสตร์ของทะเลจีนใต้และอินโดนีเซีย ซึ่งอันที่จริงแล้วมะละกาเป็นศูนย์กลางทางการค้ามาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 เทียบเท่ากับความสำคัญของสิงคโปร์ในปัจจุบันเลยทีเดียว การยึดครองเมืองเฮอร์มุซในอ่าวเปอร์เซียเมื่อปี ค.ศ.1515 ทำให้อัลบูแกร์กึสามารถควบคุมน่านน้ำเหล่านั้นและเส้นทางการค้าเครื่องเทศหนึ่งในสองสายที่ค้าขายกับเมืองต่าง ๆ แถบเลฟวอนท์ได้ อัลบูเคอร์กมีความพยายามที่จะปิดกั้นเส้นทางการค้าเครื่องเทศอีกสายหนึ่งด้วยการยึดครองเมืองเอเดน และแม้ว่าการทำงานของเขาจะไม่ถึงกับล้มเหลว โดยทำให้โปรตุเกสสามารถแล่นเรือเข้าสู่ทะเลแดงได้ แต่ถึงกระนั้นโปรตุเกสก็ไม่เคยประสบความสำเร็จในการปิดกั้นเส้นทางการค้าของชาวมุสลิมได้อย่างแท้จริง ในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 การค้าในแถบมหาสมุทรอินเดียล้วนแต่อยู่ในกำมือของพ่อค้ามุสลิมซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับและชาวกุชราติส แต่ชาวโปรตุเกสได้ขจัดพ่อค้ามุสลิมบางส่วนออกไปอย่างรวดเร็ว และได้บังคับพ่อค้ามุสลิมส่วนใหญ่ให้อยู่ภายใต้การปกครองของตน การควบคุมชายฝั่งทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกาให้เกิดความมั่นคงได้ จำเป็นต้องมีการสร้างป้อมทหารขึ้นที่เมืองโซฟาลาและเมืองโมแซมบิก ส่วนทางตอนเหนือของแหลมเดลกาโดนั้น ชาวโปรตุเกสจำเป็นต้องอาศัยความซื่อสัตย์ที่ได้รับจากสุลต่านแห่งเมืองมาลินดี ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ที่สุดของโปรตุเกสชาวเผ่าสวาฮิลีจนกระทั่งสามารถก่อตั้งป้อมเจซัสที่เมืองมอมบาซาเสร็จในช่วงสิบปีสุดท้ายของคริสต์ศวรรษที่16

ระยะแรก ๆ ความยิ่งใหญ่ทางทะเลของโปรตุเกสในมหาสมุทรอินเดียเกิดขึ้นจากชัยชนะครั้งสำคัญของฟรานซิสกู ดึ อัลเมดาเหนือกองเรือของชาวอียิปต์ที่เมืองดิวในค.ศ.1509 หลังจากนั้นอำนาจของโปรตุเกสก็ไม่เคยถูกท้าทายจนถึงขั้นน่าวิตกเลย จนกระทั่งการปรากฎตัวของชาวดัทช์และชาวอังกฤษในมหาสมุทรอินเดียเมื่อประมาณร่วมหนึ่งร้อยปีต่อมาบรรดาผู้นำชาวมุสลิมแห่งอียิปต์และตุรกีต่างก็ถูกขัดขวางอย่างรุนแรงเป็นระยะ ๆ เมื่อพยายามที่จะสร้างกองเรือขึ้นมาใช้แล่นในมหาสมุทรอินเดีย ไม้ซุงจำนวนมากที่ถูกนำมาวางเรียงรายบนชายฝั่งของทะเลแดงและชายฝั่งทะเลของอ่าวเปอร์เซียมักจะสูญหายไปเป็นประจำ เรือสินค้าของชาวอาหรับที่แล่นอยู่ในย่านนั้นหากไม่ถูกต่อขึ้นด้วยไม้จากอินเดียก็ต่อจากไม่จากชายฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา อันเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าที่ถูกนำกลับมา ปัจจัยดังกล่าวทำให้ชาวเม็มลูกส์ และชาวอ็อตโตมันส์ เกิดความวิตกกังวล ดังนั้น ในเวลาต่อมาไม้ซึ่งจะถูกนำมาใช้ในการต่อเรือแถบดินแดนชายฝั่งตะวันออกของเมืองสุเอช และเมืองบัสรา จึงต้องถูกบรรทุกข้ามมาตามภาคพื้นทวีปจากป่าทอรัส ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับชายฝั่งทะเลของซีเรีย การขนส่งไม้จากบริเวณดังกล่าวไปยังเมืองสุเอชและเมืองบัสรานั้นเต็มไปด้วยความยุ่งยากและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูงมาก และสงครามบรภาคพื้นทวีปที่กำลังโรมรันพันตูระหว่างพวกนิกายสุหนี่แห่งตรกีกับพวกชีอะห์แห่งเปแร์เซีย ก็ยิ่งเพิ่มอุปสรรคในการขนส่งไม้ให้มีมากขึ้นด้วย ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชางเตอร์กได้ใช้ความพยายามในการสร้างกิงเรือในมหาสมุทรอินเดียเพียงสี่ครั้งเท่านั้น แต่บรรดาเรือที่พวกเขาสร้างขึ้นจากความอุตสาหะอันยาวนานเพื่อใช้แล่นในน่านน้ำแถบนั้นก็มักจะถูกโจมตีและทำลายจนอับปางเสียทุกครั้งจากฝีมือของชาวโปรตุเกสนั่นเองเวลาต่อมา ป้อมทหารในจุดยุทธศาสตร์สำคัญสามแห่งของโปรตุเกสที่เมืองกัว เมืองฮอร์มุซ และเมืองมะละกา ก็ได้ถูกเสริมให้มั่นคงมากขึ้นจากแหล่งตั้งถิ่นฐานที่มีป้อมค่ายและสถานีการค้าจำนวนมาก เรียงรายตั้งแต่เมืองโซฟาลาทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา มาจนถึงเมืองเทอเนต ในหมู่เกาะโมลุกกะ นอกจากนี้ ชาวโปรตุเกสยังได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานและสถานีการค้าหลายแห่งโดยไม่มีป้อมค่ายในบางภูมิภาค ซึ่งผู้ปกครองชาวพื้นเมืองหรือขุนนางชาวพื้นเมืองอนุญาตให้พวกเขามีสิทธิพิเศษเหนืออาณาเขต ระดับหนึ่งอาทิ สิทธิพิเศษที่ได้รับจากผู้ปกครองในเมืองเซา โตเม่ แห่งเมเลียเปอร์ บนชายฝั่งโคดรมันเดล เมืองฮู้กลี ในอ่าวเบงกอลและเมืองมาเก๊าในจีน ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1555-1557 บนดินแดนปากแม่น้ำเพิร์ลสำหรับในมหาสมุทรอินเดียและในอ่าวเปอร์เซียนั้น ชาวโปรตุเกสได้ควบคุมเส้นทางการค้าแถบลมมรสุมอย่างได้ผล ด้วยเหตุนี้ กษัตริย์มานูเอลที่ 1 สำหรับในเมืองท่าอื่น ๆ นั้น การเดินเรือสินค้าของชาวพื้นเมืองได้รับอนุญาตให้แล่นขึ้นล่องได้ดังเดิม โดยมีเงื่อนไขว่า เจ้าของเรือจะต้องจ่ายเงินซื้อใบอนุญาตอาจจะถูกยึดหรือถูกจมทิ้งได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเรือเหล่านั้นเป็นของพวกพ่อค้าชาวมุสลิมสภาพการณ์ทางด้านตะวันออกของมะละกา มีความแตกต่างไปจากเนื้อหาข้างต้น กล่าวคือ เรือสินค้าของโปรตุเกสสามารถแล่นไปยังหมู่เกาะเครื่องเทศ ตลอดจนถึงน่านน้ำของอินโดนีเซียได้โดยปราศจากการท้าทาย แต่เมื่อชาวโปรตุเกสพยายามจะใช้วิธีการแข็งกร้าวตามแถบชายฝั่งทะเลของจีน พวกเขาต้องประสบกับความปราชัยอย่างยับเยินจากการรบกับกองเรือพิทักษ์ชายฝั่งของจีน นอกจากมะละกาแล้ว ชาวโปรตุเกสได้ดำเนินการเพียงดำรง ความอยู่รอดของรูปแบบทางการค้าและความสัมพันธ์กับดินแดนอื่นเท่านั้น ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่พวกเขาจะต้องแข่งขันทางการค้ากับชาวสเปน ผู้ซึ่งมีเป้าหมายเช่นเดียวกับโปรตุเกสแต่ใช้เส้นทางการเดินเรือไปยังอีกทิศทางหนึ่ง โดยในเวลานั้นชาวสเปนตระหนักแล้วว่าสิ่งที่โคลัมบัสค้นพบ มิใช่อาณาจักรคาเธย์ และชิปังกุ ตามที่มาร์โค โปโลได้บรรยายไว้อย่างมีชีวิตชีวา และก่อนที่ชาวสเปนจะค้นพบขุทรัพย์ของชาวแอซเต็ก แห่งเม็กซิโก และขุมทรัพย์ของชาวอินคาแห่งเปรูนั้นเป้าหมายสำคัญประการหนึ่งของชาวสเปน คือ การเดินเรืออ้อมหรือข้ามทวีปอเมริกาซึ่งเพิ่งจะถูกค้นพบ เพื่อเดินทางไปยังแหล่งค้าไหม เงิน และเครื่องเทศของเอเซียตะวันอก ท้ายที่สุดชาวสเปนก็ได้รับสิ่งที่อาจเรียกได้ว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าการเดินทางครั้งใด ๆ ทั้งสิ้นหลังจากที่ได้แล่นเรือข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างง่ายดายไปถึงหมู่เกาะเครื่องเทศอันเป็นสถานที่ซึ่งบุคคลทั้งสองรู้จักเป็นอย่างดีจากประสบการณ์ที่เคยใช้ชีวิตโลดแล่นอยู่ในน่านน้ำของมาเลย์แม้ว่า เดล กาโน จะไม่สามารถแล่นเรือกลับไปยังเมืองเซวิลล์ ได้สำเร็จภายหลังการบรรทุกเครื่องเทศขึ้นจากเกาะทีดอเร แต่ก็อาจจะกล่าวได้ว่าความตั้งใจและวัตถุประสงค์ในการเดินทางรอบโลกได้สำเร็จลุล่วงเป็นครั้งแรกแล้วในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เมื่อชาวโปรตุเกสและชาวสเปนเดินเรือมาบรรจบกันที่หมู่เกาะเครื่องเทศ การเดินเรือสำรวจทางทะเลซึ่งเริ่มขึ้นที่เมเกร็บในปี ค.ศ.1415 นำมาซึ่งชัยชนะแห่งการค้นพบหมู่เกาะโมลุกกะในปี ค.ศ.1521 อย่างงดงามและก่อนหน้านั้นเพียงปีเดียว คณะทูตโปรตุเกสจากอินเดียก็ประสบความสำเร็จในการติดต่อกับอาณาจัดรของกษตริย์เพรสเตอร์ จอห์น อันเป็นดินแดนซึ่ง เปโร ดึ โควิลยาได้ไปใช้ชีวิตในบั้นปลายของเขาอย่างมีเกียรติ และนับตั้งแต่บัดนั้นชื่อเสียงของอะบิสสิเนีย ก็ถูกเรียกขานกันทั่วไปจักรวรรดิโปรตุเกสในทวีปเอเชียและแอฟริกา รวมทั้งอาณานิคมบางส่วนที่ขยายเข้าไปในบราซิล ซึ่งถูกค้นพบเมื่อ ค.ศ.1500 และดินแดนชายฝ่งทะเลอื่น ๆ ที่ชาวโปรตุเกสได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานในภายหลัง เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ทางการค้าแบะอำนาจทางทะเลของโปรตุเกสว่า เกอดจากการถูกหล่อหลอมด้วยเป้าพิมพ์ทางการทหารและความศรัทธาทางศาสนา ผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสแห่งเมืองกัวในอินเดีย มักจะเป็นบุคคลที่ถูกคัดเลือกจากบรรดาเหล่าผู้ดีหรือขุนนางที่มีอาชีพเป็นนายทหาร เพราะเขาจะเป็นทั้งผู้บัญชาการป้อมปืนและข้าหลวงใหญ่ของอาณานิคมโปรตุเกส การดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการที่เมืองกัวถูกกำหนดไว้คราวละ 3 ปี และเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า บรรดาผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์โปรตุเกสให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ มักจะถือโอกาสใช้ตำแหน่งของตนในการแสวงหาผลประโยชน์บรรดาทหารข้าราชการทั้งหมดต่างก็ได้รับค่าจ้างและเบี้ยเลี้ยงตอบแทนจากกษัตริย์โปรตุเกส แต่พระราชทรัพย์นั้นก็ไม่อาจจ่ายให้แก่พวกเขาได้อย่างเพียงพอ หรือแม้แต่จ่ายได้เป็นระยะ ๆ อย่างสม่ำเสมอก็ตาม สาเหตุดังกล่าวนี้ส่งผลทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนตั้งแต่ผู้สำเร็จราชการแห่งเมืองกัว ตลอดจนถึงเด็กรับใช้ในเรือสินค้า ต่างก็ต้องมกหาลู่ทางในการเพิ่มรายได้พิเศษของตนเองด้วยการค้าขายของและแลกเปลี่ยนสินค้าอีกทางหนึ่งด้วย ดังนั้น ผู้ชายโปรตุเกสทุกคนในอาณานิคมของฦโปรตุเกสในเอเชีย หากไม่กลายเป็นพ่อค้าเต็มตัวก็เป็นพ่อค้าสมัครเล่น สภาวการณ์ดังกล่าวข้างต้นส่งผลกระทบต่อบาทหลวงและนักบวชซึ่งเป็นกลุ่มที่ไดรับค่าครองชีพเป็นสินค้าโดยตรงจากรัฐบาล จึงมีบาทหลวงอยู่เพียงไม่กี่คนที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยศรุทธาอันค่อนข้างแรงกล้า จนกระทั่งหลังจากบาทหลวงคณะเยซูอิต เดินทางเข้ามา ในปี ค.ศ.1541 พวกเขาจึงได้ยกระดับและทำนุบำรุงมาตรฐานทางศาสนาให้สูงขึ้นกว่าเดิม แต่ความตกต่ำในการครองตนของบาทหลวงและนักบวชทั่วไปหลับมิได้เป็นอุปสรรคต่อการได้รับความเคารพนับถือทั้งจากกษัตริย์โปรตุเกสและเจ้าหน้าที่ของทางการและพลเมืองชาวอินโด โปรตุเกส ทั้งหลายแม้แต่น้อยทั้งนี้เพราะมีจารีตเก่าแก่ของชาวลูซิตาเนียนกล่าวไว้ว่า “ถึงจะมีบาทหลวงที่จัดว่าเลวที่สุด ก็ยังนับว่าประเสริฐกว่าสัปบุรุษที่ดีเลิศหลายคน”เราไม่ทราบว่าแท้ที่จริงแล้วพลเมืองชาวโปรตุเกสในดินแดนโพ้นทะเลระหว่างคริสต์ศตวรรษที่16-17 มีจำนวนเท่าใด แต่ดูเหมือนว่าผู้ชายชาวโปรตุเกสที่สามารถจับอาวุธได้ ซึ่งประจำการหรือตั้งหลักแหล่งอยู่ในนครรัฐแห่งอินเดีย คงจะไม่เคยมีจำนวนเกินระหว่าง 6000-7000 คนอย่างแน่นอน ครึ่งหนึ่งของชายฉกรรจ์เหล่านี้มักจะเป็นพวกหนีทัพหรือเข้าไปตั้งหลักแหล่งอยู่ในอาณาจักรของกษัตริย์พื้นเมืองต่าง ๆอาทิเช่น จีน พะโค สยาม โอริสสา และเบงกอล พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้สำเร็จราชการแห่งกัว เช่นกัน นอกจากนี้แล้วยังมีชาวโปรตุเกสออกไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในแอฟริกาตะวันตก มอร็อกโก และบราซิล ประมาณ 2000-3000 คน แต่อัตราการล้มตายจากผลของสงครามกลับมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้น ในคริสตศวรรษที่ 16 บรรดาชายฉกรรจ์ชาวโปรตุเกสที่ออกไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ตลอดจนถึงหมู่เกาะโมลุกกะจึงมีจำนวนไม่น่าจะเกิน 10000 คน ขณะที่พลเมืองชาวโปรตุเกสที่อยู่ในประเทศแม่ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้มีประมาณหนึ่งล้านคน และการอพยพออกไปจากโปรตุเกสซึ่งเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอคราวละมาก ๆ นั้น มีความจำเป็นต่อการลดช่องว่างโปรตุเกสซึ่งเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอคราวละมาก ๆ นั้น มีความจำเป็นต่อลดช่องว่างอันเกิดจากการสูญเสียพลเมืองในอาณานิคมเขตร้อนเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้เปรียบเทียบสัดส่วนของชาวโปรตุเกสที่อกไปตั้งถิ่นฐานในโพ้นทะเลเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 แล้ว ปรากฎว่าผู้หญิงชาวโปรตุเกสอพยพออกจากประเทศโปรตุเกสน้อยมาก และพวกเธอส่วนใหญ่จะอพยพไปยังบราซิลทั้งสิ้นหลังจากที่ได้แล่นเรือข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างง่ายดายไปถึงหมู่เกาะเครื่องเทศอันเป็นสถานที่ซึ่งบุคคลทั้งสองรู้จักเป็นอย่างดีจากประสบการณ์ที่เคยใช้ชีวิตโลดแล่นอยู่ในน่านน้ำของมาเลย์แม้ว่า เดล กาโน จะไม่สามารถแลนเรือกลับไปยังเมืองเซวิลล์ ได้สำเร็จภายหลังการบรรทุกเครื่องเทศขึ้นจากเกาะทีดอเร แต่ก็อาจจะกล่าวได้ว่าความตั้งใจและวัตถุประสงค์ในการเดินทางรอบโลกได้สำเร็จลุล่วงเป็นครั้งแรกแล้วในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เมื่อชาวโปรตุเกสและชาวสเปนเดินเรือมาบรรจบกันที่หมู่เกาะเครื่องเทศ การเดินเรือสำรวจทางทะเลซึ่งเริ่มขึ้นที่เมเกร็บในปี ค.ศ.1415 ได้นำมาซึ่งชัยชนะแห่งการค้นพบหมู่เกาะโมลุกกะในปี ค.ศ.1521 อย่างงดงามและก่อนหน้านั้นเพียงปีเดียว คณะทูตโปรตุเกสจากอินเดียก็ประสบความสำเร็จในการติดต่อกับอาณาจัดรของกษัตริย์เพรสเตอร์ จอห์น อันเป็นดินแดนซึ่ง เปโร ดึ โควิลยาได้ไปใช้ชีวิตในบั้นปลายของเขาอย่างมีเกียรติ และนับตั้งแต่บัดนั้นชื่อเสียงของอะบิสสิเนีย ก็ได้ถูกเรียกขานกันทั่วไปจักรวรรดิโปรตุเกสในทวีปเอเชียและแอฟริกา รวมทั้งอาณานิคมบางส่วนที่ขยายเข้าไปในบราซิล ซึ่งถูกค้นพบเมื่อ ค.ศ.1500 และดินแดนชายฝ่งทะเลอื่น ๆ ที่ชาวโปรตุเกสได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานในภายหลัง เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ทางการค้าแบะอำนาจทางทะเลของโปรตุเกสว่า เกอดจากการถูกหล่อหลอมด้วยเป้าพิมพ์ทางการทหารและความศรัทธาทางศาสนา ผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสแห่งเมืองกัวในอินเดีย มักจะเป็นบุคคลที่ถูกคัดเลือกจากบรรดาเหล่าผู้ดีหรือขุนนางที่มีอาชีพเป็นนายทหาร เพราะเขาจะเป็นทั้งผู้บัญชาการป้อมปืนและข้าหลวงใหญ่ของอาณานิคมโปรตุเกส การดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการที่เมืองกัวถูกกำหนดไว้คราวละ 3 ปี และเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า บรรดาผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์โปรตุเกสให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ มักจะถือโอกาสใช้ตำแหน่งของตนในการแสวงหาผลประโยชน์บรรดาทหารข้าราชการทั้งหมดต่างก็ได้รับค่าจ้างและเบี้ยเลี้ยงตอบแทนจากกษัตริย์โปรตุเกส แต่พระราชทรัพย์นั้นก็ไม่อาจจ่ายให้แก่พวกเขาได้อย่างเพียงพอ หรือแม้แต่จ่ายได้เป็นระยะ ๆ อย่างสม่ำเสมอก็ตาม สาเหตุดังกล่าวนี้ส่งผลทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนตั้งแต่ผู้สำเร็จราชการแห่งเมืองกัว ตลอดจนถึงเด็กรับใช้ในเรือสินค้า ต่างก็ต้องมกหาลู่ทางในการเพิ่มรายได้พิเศษของตนเองด้วยการค้าขายของและแลกเปลี่ยนสินค้าอีกทางหนึ่งด้วย ดังนั้น ผู้ชายโปรตุเกสทุกคนในอาณานิคมของโปรตุเกสในเอเชีย หากไม่กลายเป็นพ่อค้าเต็มตัวก็เป็นพ่อค้าสมัครเล่น สภาวการณ์ดังกล่าวข้างต้นส่งผลกระทบต่อบาทหลวงและนักบวชซึ่งเป็นกลุ่มที่ไดรับค่าครองชีพเป็นสินค้าโดยตรงจากรัฐบาล จึงมีบาทหลวงอยู่เพียงไม่กี่คนที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยศรุทธาอันค่อนข้างแรงกล้า จนกระทั่งหลังจากบาทหลวงคณะเยซูอิต เดินทางเข้ามา ในปี ค.ศ.1541 พวกเขาจึงได้ยกระดับและทำนุบำรุงมาตรฐานทางศาสนาให้สูงขึ้นกว่าเดิม แต่ความตกต่ำในการครองตนของบาทหลวงและนักบวชทั่วไปหลับมิได้เป็นอุปสรรคต่อการได้รับความเคารพนับถือทั้งจากกษัตริย์โปรตุเกสและเจ้าหน้าที่ของทางการและพลเมืองชาวอินโด โปรตุเกส ทั้งหลายแม้แต่น้อยทั้งนี้เพราะมีจารีตเก่าแก่ของชาวลูซิตาเนียนกล่าวไว้ว่า “ถึงจะมีบาทหลวงที่จัดว่าเลวที่สุด ก็ยังนับว่าประเสริฐกว่าสัปบุรุษที่ดีเลิศหลายคน”เราไม่ทราบว่าแท้ที่จริงแล้วพลเมืองชาวโปรตุเกสในดินแดนโพ้นทะเลระหว่างคริสต์ศตวรรษที่16-17 มีจำนวนเท่าใด แต่ดูเหมือนว่าผู้ชายชาวโปรตุเกสที่สามารถจับอาวุธได้ ซึ่งประจำการหรือตั้งหลักแหล่งอยู่ในนครรัฐแห่งอินเดีย คงจะไม่เคยมีจำนวนเกินระหว่าง 6,000-7,000 คนอย่างแน่นอน ครึ่งหนึ่งของชายฉกรรจ์เหล่านี้มักจะเป็นพวกหนีทัพหรือเข้าไปตั้งหลักแหล่งอยู่ในอาณาจักรของกษัตริย์พื้นเมืองต่าง ๆอาทิเช่น จีน พะโค สยาม โอริสสา และเบงกอล พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้สำเร็จราชการแห่งกัว เช่นกัน นอกจากนี้แล้วยังมีชาวโปรตุเกสออกไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในแอฟริกาตะวันตก มอร็อกโก และบราซิล ประมาณ 2,000-3,000 คน แต่อัตราการล้มตายจากผลของสงครามกลับมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้น ในคริสตศวรรษที่ 16 บรรดาชายฉกรรจ์ชาวโปรตุเกสที่ออกไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ตลอดจนถึงหมู่เกาะโมลุกกะจึงมีจำนวนไม่น่าจะเกิน 10,000 คน ขณะที่พลเมืองชาวโปรตุเกสที่อยู่ในประเทศแม่ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้มีประมาณหนึ่งล้านคน และการอพยพออกไปจากโปรตุเกสซึ่งเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอคราวละมาก ๆ นั้น มีความจำเป็นต่อการลดช่องว่างโปรตุเกสซึ่งเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอคราวละมาก ๆ นั้น มีความจำเป็นต่อการลดช่องว่างที่เกิดจากการสูญเสียพลเมืองในอาณานิคมเขตร้อนเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนของชาวโปรตุเกสที่ออกไปตั้งถิ่นฐานในโพ้นทะเลเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 แล้ว ปรากฎว่าผู้หญิงชาวโปรตุเกสอพยพออกจากประเทศโปรตุเกสน้อยมาก และพวกเธอส่วนใหญ่จะอพยพไปยังบราซิลทั้งสิ้นจะว่าไปแล้วชายฉกรรจ์ชาวโปรตุเกสที่อยู่ในจักรวรรดิโพ้นทะเลมีจำนวนพอ ๆ กับชายฉกรจ์ที่อยู่ในอาณานิคมของโปรตุเกสแห่งโจฮันเนสเบิร์กขณะนี้ จำนวนประชากรกังกล่าวแลดูน้อยเหลือเกินเมื่อเรานำไปคิดเปรียบเทียบกับความพยายามของพวกเขาในการตั้งอาณานิคมเกษตรกรรมตลอดแนวชายฝั่งทะเลของบราซิล นอกเหนือไปจากความพยายามในการสู้รบ การดำเนินการค้า และการขยายอาณานิคมตั้งแต่มอรอกโก จนถึงญี่ปุ่นสิ่งที่สำคัญมิได้อยู่ที่การล่มสลายของจักรวรรดิโปรตุเกสในตะวันออก หากแต่อยู่ที่ช่วงแห่งความรุ่งเรืองเป็นเวลานับศตวรรษ และสืบทอดต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานานก่อนที่จะสิ้นสุดลงในภายหลัง

การอ้างอิง
[1] “…la mayor cosa después de la creació del mundo, sacando la encarnación y muerte del que lo criá ” . Fracisco López de Gómara, Primera y segunda parte de la historia general de la Indias (çaragoça, 1553), Vol. I, p.4

วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

2.Four Centuries of Portuguese Expansion,1415-1825:a Succint Survey by C.R. Boxer

บทที่2. ความขัดแย้งเรื่องผิว ชนชั้นและศาสนาในคริสต์ศตวรรษที่ 16
by C.R. Boxer (แปลโดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร / ร่างรอขัดเกลาสำนวน พิสูจน์อักษร อ้างอิง แก้ไขเทคนิคการนำเสนอ ภาพประกอบและกำกับภาษาต่างประเทศ)
ความขัดแย้งทางผิว ชนชั้นและศาสนาเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ เนื่องจากการอพยพเข้ามาเป็นจำนวนมากของชาวโปรตุเกสและการเผยแพร่ศาสนาจักรโรมันคาธอลิกในทวีปแอฟริกา เอเชียและอเมริกาใต้ ความขัดแย้งดังกล่าวมีสภาวการณ์ที่แตกต่างกันออกไป ในโมรอคโค(Morocco)นั้น อุดมการณ์เกี่ยวกับสงครามครูเสด(The Crusading Spiritual)ยังคงตกค้างอยู่อีกนาน หลังจากการต่อสู้กันประปรายเป็นระยะๆ ผลส่วนใหญ่จากการยึดเมืองซีทตา(Ceata) ตันกิเยร์(Tangier)และที่มั่นอื่นๆตามชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก(Atlantic)ของโปรตุเกส คือ การส่งกำลังทหารเข้าไปยังดินแดนที่โดดเดี่ยวตนเองและเกลียดชังคนต่างชาติอย่างรุนแรงของชาวมุสลิม การต่อต้านชาวโปรตุเกสผู้รุกรานเกิดจากการยุยง ตระเตรียมและชี้นำของพวกมาราบูตส์(The Marabouts)ก่อให้เกิดสงครามตามมา ความพยายามของโปรตุเกสในการรุกรานสิ้นสุดลงจากความหายนะในสมรภูมิอัลคาเซอร์ เคบีร์(Alcacer Kebir) เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ.1578 ผลของสงคราม คือ กษัตริย์เซบาสติอาว (King D. Sebastiao) สิ้นพระชนม์ ทหารที่รอดตายต่างก็ถูกจับเป็นเชลยศึกทั้งหมด ในรัชสมัยของกษัตริย์ ด.จูอาวที่ 3(King D.João III ) ทำให้ป้อมปราการหลายแห่งของโปรตุเกสในโมร็อคโคถูกทอดทิ้ง ครั้นสิ้นสุดศตวรรษที่16 ป้อมปราการของโปรตุเกสก็เหลืออยู่ในเมืองซีตา ตันกิเยร์และมาซากัน(Mazagan)เท่านั้น กองทหารประจำป้อมทั้ง 3 แห่ง มักจะได้รับค่าจ้างไม่ครบ นอกจากนี้ยังขาดแคลนเสบียงและกำลังพล ทหารโปรตุเกสเหล่านี้จึงมีความสามารถในการต่อสู้ป้องกันตัวเล็กน้อยๆ การลาดตระเวนและการตรวจค้นพื้นที่รอบเมือง ทำได้แค่ในเวลากลางวันเท่านั้น พวกเขาไม่กล้าเสี่ยงออกไปลาดตระเวนจนไกลลับตาจากแนวกำแพงป้อม เพราะถ้าพลั้งพลาดหรือคล้อยหลังเมื่อใดก็อาจจะถูกโจมตีด้วยกำลังที่เหนือกว่าได้ทันที การรบฉาบฉวยเช่นนี้ บางครั้งลดลงไปบ้างในช่วงที่พ่อค้าชาวมัวร์(Moorish)และยิว(Jewish)นำสินค้าเข้ามาแลกเปลี่ยน กษัตริย์โปรตุเกสทรงห่วงใยป้อมปราการทั้ง 3 แห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง จึงโปรดให้เสริมกำลังทหารและให้การสนับสนุนอย่างรวดเร็วเมื่อป้อมแห่งใดแห่งหนึ่งถูกพวกมัวร์ปิดล้อม[1](เริ่มการพิสูจน์อักษรต่อ)สำหรับภูมิภาคซึ่งอยู่ลัดลงไปทางใต้ของชายฝั่งอาฟริกาตะวันตกจนถึงมอริตาเนีย(Mauretania) และต่ำลงไป การค้นหาทองคำที่กินี(Guinea)ถูกแทรกแซงจากความต้องแรงงานทาส การค้าทาสกลาย เป็นกิจการสำคัญของโปรตุเกสตามดินแดนแถบชายฝั่งทะเลหลังจากมีการพัฒนาไร่อ้อย (The development of sugar plantation)ในมาเดอิรา(Madeira) เซา โตเม(Sao Tome)และบราซิล(Brazil) ตามลำดับ อาณานิคมของสเปนในแถบทะเลแคริบเบียน(The Spanish Carribbean Colonies) และอาณานิคมที่กระจัดกระจายในเม็กซิโก(Mexico)และเปรู(Peru) ต่างก็เป็นแหล่งระบายทาสที่ให้กำไรมากมายแก่พ่อค้าโปรตุเกส แม้ว่าความป่าเถื่อนจะเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อให้ได้ทาสมาเป็นสินค้า แต่ชาวโปรตุเกสก็พบว่าการค้าทาสโดยสันติกับนายหน้าชาวอาหรับ(Arub) เบอร์เบอร์(Berber) และนิโกร (Negro)แห่งดินแดนเร้นลึกเข้าไปจากชายฝั่ง(Hinterland) ให้กำไรมากกว่าการจู่โจมเข้าไปในหมู่บ้านโล่งๆบนชายฝั่งที่ไม่มีการป้องกันตนเอง โรงสินค้าแห่งแรกถูกตั้งขึ้นที่อาร์กีม(Argium) เมื่อค.ศ.1445 การตั้งโรงงานหรือโรงสินค้าเช่นนี้ เป็นแบบฉบับซึ่งชาวอังกฤษ ชาวดัทซ์(Dutch) ชาวฝรั่งเศส(French) ได้นำเอาไปใช้และประยุกต์ใช้ต่อๆกันมา และ ณ ที่อาร์กีมนี้เองที่สินค้าชาวยุโรปจำพวกผ้า(textiles) โลหะภัณฑ์(Hardware) หนังสัตว์(Hides) กระจกเงา(Looking-glass)ฯลฯ ต่างถูกนำมาแลกเปลี่ยนกับทองคำผง(Gold-dust) ทาสผิวดำ(Negro-slave) ครั่ง(Gumlac) ชะมด(Civet) เครื่องเทศ(Malagueta) ชนิดที่เรียกว่า ”Grain of paradise”

จากเคปเวิร์ด(Cape Verde) จนถึงโกลด์โคสท์(Gold Coast) ระบบที่ค่อนข้างแตกต่างกันถูกนำมาใช้เมื่อเกาะเคปเวิร์ด(Cape Verde Is.) ถูกยึดครองเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสในช่วงทศวรรษ 1460 บรรดาพ่อค้าเอกชนและผู้ถูกเนรเทศ ชาวโปรตุเกสซึ่งขึ้นล่องตามลำน้ำและหุบห้วยสายต่างๆแถบเซเนแกมเบีย(Senegambia)และตอนเหนือของกินี(Upper Guinea)เป็นประจำ มักจะตั้งหลักแหล่งในหมู่บ้านของพวกนิโกร(Negro) อันเป็นสถานที่ซึ่งพวกเขาและทายาทเลือดผสมผิวดำ-ขาว(Mulatto)ทำหน้าที่เป็นคนกลางในการค้าขายแลกเปลี่ยนทองคำและทาสระหว่างคนผิวขาวกับผิวดำ J.W.Blake[2] ชาวอังกฤษ คนผิวขาวที่ใช้ชีวิตแบบพื้นเมือง ถูกเรียกว่าพวกแทนโกมาโอส(Tangomaos)หรือแลนซาโดส(Lancados) คนเหล่านี้ได้แก่ผู้ลี้ภัย ผู้ถูกเนรเทศในความผิดมหันต์ และผู้ร่วมประเวณีในสายเลือดเดียวกัน(Incestuouse acts)สำหรับคนกลุ่มนี้ แม้แต่การดำรงชีวิตและการสนทนาของพวกเขา ก็เป็นที่ยอมรับแต่เพียงในสถานที่เช่นนี้ ถึงกระนั้นพวกเขาก็มิได้หมดกำลังใจหรือความบากบั่นอุตสาหพยายาม บางคนเดินทางลึกเข้าไปห่างจากชายฝั่งทะเล จนถึงตลาดใหญ่ของชาวซูดานแห่งทิมบักตู (The great Sudanese mart of Timbuktu) ซึ่งทูตบางคณะของกษัตริย์ดอม จูอาวที่2 (King D. Joao2nd) ก็เคยเดินทางไปถึงเช่นกันสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเขาทำให้การใช้ภาษาโปรตุเกสแบบลิงกัว ปรังกา (Lingua franca)[3] แพร่ไปในวงการค้าตลอดแนวชายฝั่งทะเล

ตลอดแนว150ไมล์ลึกเข้าไปในดินแดนชายฝั่งทะเลโกลด์ โคสท์ รัฐบาลโปรตุเกสติดต่อกับชาวพื้นเมืองโดยสันติวิธีน้อยกว่าการใช้กำลังทหารและการบีบบังคับซึ่งอันที่จริงแล้วก็แทบจะไม่ต้องออกกำลังมากมายเท่าใดเลย ภูมิภาคแถบนี้มีความสำคัญมากกว่าแห่งอื่น เพราะเป็นดินแดนที่อุดมไปด้วยทองคำ และเป็นแหล่งรวบรวมทองคำ ซึ่งถูกนำมาจากดินแดนเร้นลับในซูดานตะวันตกเพื่อส่งไปยัง เคป เวิร์ดและเซเนแกมเบีย ในค.ศ.1481พระเจ้าดอม จูอาวที่2 กษัตริย์ผู้ทรงกระตือรือร้นและมองการณ์ไกลได้โปรดให้จำลองแผนผังและโครงสร้างของปราสาทที่แข็งแรง-มั่นคง-สง่างามในยุโรปมาเป็นแม่แบบในการสร้างป้อมปราการที่บริเวณเรียกว่า เซา จอร์ช ดา มินา (Sao Jorge da Mina or St. George of the Mine or Elmina) ป้อมเซา จอร์ช ดา มินา ที่เมืองมินา จะเป็นป้อมปราการแห่งแรกของโปรตุเกสในเขตร้อน ซึ่งจะทำให้โปรตุเกสสามารถเข้าปกครองพวกนิโกรพื้นเมือง และใช้คุ้มครองแหล่งทองคำให้พ้นจากการคุกคามของสเปนและยุโรปชาติอื่นด้วย เมื่อโปรตุเกสสร้างป้อมแห่งนี้ในค.ศ.1482 ทำให้บรรดาผู้นำชนเผ่าพื้นเมืองเกิดความไม่พอใจ ต่อมาพลเมืองของชนเผ่าเหล่านี้บางกลุ่มหันมานับถือศาสนาโรมันคาธอลิกและจงรักภักดีต่อชาวโปรตุเกสสืบมาจนกระทั่งป้อมแห่งนี้ถูกชาวดัทช์ยึดครองไปใน ค.ศ.1637

จูอาว ดึ บารูช (Joao de Barros) นักจดหมายเหตุสำคัญของโปรตุเกส ซึ่งเคยเดินทางไปยังเมืองมินาเมื่อยังเยาว์วัย ได้เล่าถึงฐานะของชาวโปรตุเกสที่เมืองกินี (Guinea) ในหนังสือชื่อ เดกาดา ปรีเมอิรา (Decada Primeira) ตีพิมพ์เมื่อค.ศ.1552 ว่า[4]“นอกจากเรื่องการเพิ่มจำนวนของพระราชทรัพย์ที่ตกสืบกันมาในประเทศโปรตุเกสแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีที่ดิน(Land-tax) อากร(Toll) ภาษีหนึ่งชักสิบ(Tith) ภาษีการขน ส่งสินค้า(Transfer-tax) หรือภาษีอื่นๆรวมทั้งการเสียภาษีเงินได้รายปีที่สูงกว่ารายได้ประจำ โดยไม่บ่นถึงความแห้งแล้งและการขาดทุนมากไปกว่าการเสียภาษีทางการค้าที่กินี ณ ที่นี้ ถ้าหากเรารู้จักลู่ทางในการทำมาหากินและเก็บเกี่ยวพืชผลอย่างเหมาะสมแล้ว เราก็จะได้รับผลกำไรตอบแทนอย่างคุ้มค่า มาก กว่าการยึดครองของราชอาณาจักรและทุ่งหญ้าแห่งหุบเขาซานตาเร็ม(The vale of Santarem) ยิ่งไปกว่านั้น ภายในดินแดนอันสงบสุขปราศจากความน่ากลัวและการฆ่าฟันแห่งนี้ เราสามารถจะแสวงหาทองคำ งาช้าง ขี้ผึ้ง หนังสัตว์ น้ำตาล พริกไทย ฯลฯ ได้อย่างมากมาย หากเดินทางไปถึงดินแดนลึกเข้าไป (Hinterland) เช่นเดียวกับที่เราเคยดั้นด้นไปถึงญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ห่างออกไปสุดมุมโลกแล้ว เราจะได้รับผลตอบแทนมากกว่านี้ ประการสุดท้ายคือ กินีมีพลเมืองที่ซื่อสัตย์และมีคนรับใช้จำนวนมากที่ขยันขันแข็ง สามารถทำงานให้เราได้ทุกอย่าง พวกเขาต่างก็มั่นใจว่า ไม่ว่าดินแดนแห่งใดก็ตามที่เราได้ครอบครอง ล้วนไม่อาจจะให้สิ่งตอบแทนแก่เราได้มากมายขนาดนี้อีก หากข้าพเจ้าได้รับการฝึกหัด-อบรมทางด้านยุทธศิลป์(Military Art) มาก่อนละก็ ข้าพเจ้าจะขอสมัครมาเป็นทหารที่กินีมากกว่าจะขอไปยังดินแดนของชาวสวิส(The Land of Swiss) ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ขณะนี้พวกมุสลิมแห่งอาฟริกา(The Muslim of Africa) โดยเฉพาะผู้ครองนครแห่งมอร็อคโค(The Sherif of Morrocco) มักจะชอบแสวงหาโดยการทำสงครามบ่อยครั้งกว่าการทำสงครามของโปรตุเกสเสียอีก”

วิถีชีวิตประจำวันที่เรียบง่ายของชาวเอเชียนั้น ในอดีต อาจเปรียบเทียบได้กับการที่ซัลยูส(Salust)[5] ได้ประณามว่า การใช้ชีวิตที่หละหลวมและขาดความกระตือรือร้นของชาวโรมัน (Roman People) เป็นสาเหตุแห่งการคดโกงทุจริตซึ่งกันและกันอย่างกว้างขวาง ตัวอย่างดังกล่าวคือสิ่งที่โปรตุเกสกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ แต่ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งดินแดนแห่งเอธิโอเปียมอบให้แก่เรา ทำให้ดินแดนแห่งนี้ได้ชื่อว่าแผ่นดินแห่งความอุดมสมบูรณ์อย่างแท้จริง กินีไม่เพียงแต่จะมอบปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตเท่านั้น แต่ยังประทานสำนึกแห่งการดำรงเผ่าพันธุ์อันบริสุทธิ์ งดงามและใกล้ชิดกับพระเจ้าอีกด้วยนอกจากดึ บารูชเรื่องราวเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์และความซื่อสัตย์ของชาวเมืองกินีแล้ว เขายังบันทึกคำเตือนสำคัญเอาไว้ว่า“แต่จะเป็นด้วยบาปของมวลมนุษย์หรือพระประสงค์อันสุดหยั่งรู้ของพระเจ้าก็ไม่ทราบที่ทำให้เส้นทางการเดินเรือไปยังดินแดนเอธิโอเปียเต็มไปด้วยคมดาบแห่งความตายและโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าหากพระเจ้าทรงคุ้มครองให้เราเดินทางไปถึงดินแดนอันเปรียบเสมือนอุทยานแห่งพระองค์ได้ เมื่อนั้น สายธารแห่งทองคำจะไหลท้วมท้นไปยังทุกๆภูมิภาคที่อำนาจของเราครอบคลุมไปถึง”

ในแถบอาฟริกาตะวันตกนั้น ไข้มาลาเรียและโรคเมืองร้อนต่างๆเป็นอุปสรรคสำคัญที่คร่าชีวิตของคนผิวขาวจำนวนมากในศตวรรษที่16และระยะเวลาต่อๆมา อย่างไรก็ตาม จากบันทึกของบารอสปรากฏว่า แม้ชาวโปรตุเกสจะสามารถหาทองคำจำนวนมากได้จากดินเดนแถบชายฝั่งทะเลของอาฟริกา แต่พวกเขาก็ตระหนักดีว่า พวกเขามิอาจจะดั้นด้นบุกเข้าไปในป่าดงดิบเขตร้อนชื้นอันกว้างใหญ่ ที่คั่นระหว่างดินแดนแถบชายฝั่งทะเลกับดินแดนที่อยู่เร้นลึกตอนใน ซึ่งเป็นแหล่งทองคำแห่งมาลี(The golden field of Mali or Wangara) ได้อย่างพวกมัวร์ ที่ข้ามมาจากทะเลทรายสะฮาราอันทุรกันดาร (The Sahara)

แม้ว่าบารอสจะกล่าวถึงพวกคาธอลิกนิโกรที่กินีด้วยความชื่นชม แต่แท้ที่จริงแล้ว นิโกรที่เขารีตมีจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง นิโกรเหล่านี้เป็นมิตรกับชาวโปรตุเกสที่อาศัยอยู่ในมิน่า(Mina)อาซิม(Axim)และป้อมอื่นๆอย่างวางใจได้ อย่างไรก็ตาม ระยะทางตั้งแต่เคปเวอร์จนถึงคองโก มีมีชันนารีชาวโปรตุเกสเข้าไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ไม่เกิน2-3คนเท่านั้น และมิชชันนารีที่เดินทางเข้ามายังดินแดนแห่งนี้ ส่วนใหญ่มักจะเสียชีวิตหรือเจ็บป่วยจนไม่สามารถจะทำงานได้ เนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บอันชุกชมและสภาพวิปริตอย่างรุนแรงของอากาศ สำหรับทางทิศใต้ของลุ่มแม่น้ำแชร์(Southern of The river Zaire)ก็เช่นเดียวกัน ความตายเนื่องจากสภาพอากาศเช่นนี้ คืออุปสรรคสำคัญอย่างยิ่งต่อการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ จนกระทั่งมีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์การแพทย์แผนใหม่ ในคริสต์ศตวรรษที่19[6] ปัญหาดังกล่าวจึงคลี่คลายไปในปีเดียวกันกับการสร้างป้อมเซา จอร์ช ดา มินาที่โกลด์ โคสท์นั้นเอง โปรตุเกสก็ได้ค้นพบอาณาจักรเก่าแก่แห่งคองโก(The old Kingdom of Congo)ความสำเร็จก้าวแรกของชาวโปรตุเกสจึงเป็นแรงบันดาลใจในการเผยแพร่ศาสนามากยิ่งขึ้น ทำให้กษัตริย์ชาวบันตูแห่งอาณาจักรคองโกหลายพระองค์หันมาเข้ารีตนับถือศาสนาคาธอลิก พระเจ้าดอม อัฟฟองโซ(King Dom Affonso)ก็ทรงเป็นชาวคาธอลิกที่ดียิ่งกว่าผู้สอนศาสนา(teachers)ของพระองค์อีกหลายๆคน พระองค์ทรงมีความสนใจต่อการให้ความสนับสนุนศาสนาและอารยธรรมของยุโรป สิ่งที่พระองค์ทรงเรียกร้องอยู่ตลอดเวลาคือ คณะทูตรุ่นแรกๆที่จะเดินทางเข้าไปในอาณาจักรคองโก ไม่เพียงจะเป็นบาปหลวง(friars)[7]และผู้สอนศาสนา(priests)[8]อื่นๆเท่านั้น หากจะต้องเป็นแรงงานฝีมือ(skillworkers)และช่างฝีมือ(artisans)อาทิ ช่างตีเหล็ก(blacksmiths) ช่างก่อสร้าง(masons) ช่างเรียงอิฐ(bricklayers) และเกษตรกร(ahricultural labours)อีกด้วย ในค.ศ.1492ช่างพิมพ์(printers)ชาวเยอรมนีสองคนได้อาสาเข้าไปทำงานในคองโก ต่อมา มีผู้หญิงผิวขาวจำนวนหนึ่งถูกส่งเข้าไปสอนสตรีชั้นสูงชาวพื้นเมืองให้รู้จักประดิษฐ์งานเศรษฐศิลปกรรมในครัวเรือน(The art of domestic economy)ตามแบบอย่างของชาวโปรตุเกส นอกจากนี้ยังมีบุตรหลานของขุนนางชาวคองโกจำนวนมากถูกส่งไปรับการศึกษาทีกรุงลิสบอนและภายหลังนักเรียนผู้หนึ่งในจำนวนนี้ ได้รับการแต่งตั้งจากพระสันตะปาปาให้ดำรงตำแหน่งบิชอป(bishop)โดยการเสนอของพระเจ้ามานูเอล(King Manuel)กษัตริย์แห่งราชวงศ์แอฝิช(The House of Aviz)องค์ต่อๆมา มิได้พยายามควบคุมการปกครองหรือยึดครองอาณาจักรคองโก โดยใช้กำลังทหาร หากแต่ทรงอนุเคราะห์กษัตริย์แห่งคองโก ราวกับพระญาติวงศ์ และในลักษณะของพันธมิตร มิใช่แบบประเทศราช เมื่อพระเจ้าดอม อาฟฟองโซที่1(King Dom Affonso 1)สิ้นพระชนม์ นโยบายนี้ก็เลิกล้มไปโดยปริยาย เนื่องจากโปรตุเกสสามารถติดต่อกับเอเชีย-และ อาฟริกาได้แล้ว นอกจากนี้ ความต้องการแรงงานทาส”The Black Ivory” ได้ถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวด เร็ว ทำให้ชาวยุโรปจำนวนมากเดินทางเข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้าทาสในอาฟริกาตะวันตก โดยเฉพาะ ชาวโปรตุเกสเป็นพวกแรกที่ได้รับผลประโยชน์จากการค้าทาสอย่างต่อเนื่องกันเป็นเวลานานหลายร้อยปี ทำให้วัฒนธรรมของชาวลูซิตาเนียนทิ้งร่องรอยไว้ในอาณาจักรคองโกอยู่เป็นเวลานาน ศาสนพิธีของศาสนาคริสต์นิกายโรมัน-คาธอลิก ยังคงได้รับการปฏิบัติสืบต่อกันมา จนถึงคริสต์ศตวรรษที่18 หรืออย่างน้อยที่สุดบุคคลชั้นสูงในอาณาจักรคองโก ยังสามารถพูด-อ่าน-เขียน-ภาษาโปรตุเกสได้อย่างคล่อง แคล่วจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่17

ชาวโปรตุเกสแสดงท่าทีของตนต่อชาวพื้นเมืองในแองโกลาและเบงเกลลา(Angola and Benguela) อย่างตรงกันข้ามกับการปฏิบัติต่อชาวคองโก พลเมืองแห่งดินแดนทางตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำเบงโก(The Bengo River) ไม่ค่อยจะยินดียินร้ายต่อการยอมรับนโยบายสันติวิธีซึ่งชาวโปรตุเกสหยิบยื่นให้ดังเช่นชาวคองโก และสาเหตุที่โปรตุเกสติดต่อกับชาวคองโกด้วยสันติวิธีก็เพราะว่า คองโกมีผล ประโยชน์ให้โปรตุเกสตักตวงอย่างคุ้มค่านั่นเอง ในค.ศ.1568 บาทหลวงคณะเจซูอิตรุ่นแรกๆที่เข้าไปอยู่ในแองโกลา ได้สนับสนุนแนวความคิดของบาทหลวงที่เข้าไปเผยแพร่ศาสนาในบราซิลที่เสนอว่าโปรตุเกสควรจะเผยแพร่ศาสนาคริสต์ด้วยวิธีการที่รุนแรงหรือ ”Preaching with the sword and rod of iron” บาทหลวงฟรานซิสโก เดอ กูเวยา (Francisco de Gouveia) ผู้อุทิศตนแก่การเผยแพร่ศาสนาคริสต์เป็นเวลาหลายปีในแองโกลาหรือโงลา(Hgola)ตามที่หัวชนเผ่าพื้นเมืองนิยมเรียก ได้กล่าวว่า ชาวบันตูเป็นคนป่าเผ่าดุร้ายที่ไม่อาจจะทำให้หันมานับถือพระเจ้าได้ ด้วยวิธีการอันละมุนละม่อม อย่างที่เคยใช้ได้ผลกับชาวจีนและญี่ปุ่น การทำให้ชาวบันตูเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียนที่ดีได้ มีวิธีการเดียวคือการบังคับด้วยกำลังเท่านั้น

การสนับสนุนให้ชาวคริสเตียนรวมตัวกันต่อสู้กับความชั่วร้ายดังกล่าว สอดคล้องกับความต้องการของเปาโล ไดแอส เดอ โนแวส(Paulo Dias de Novais) ผู้ซึ่งได้ยัดเยียดนโยบายในการยึดครองแองโกลาต่อกษัตริย์โปรตุเกสเมื่อค.ศ.1571 แม้กษัตริย์โปรตุเกสจะทรงลังเลพระทัย แต่ในที่สุดก็ได้ทรงอนุญาตอย่างไม่เต็มพระทัย ดังที่ปรากฏรายละเอียดอยู่ในผลงานการค้นคว้าของศาสนตราจารย์ซิลวา เรโก(Silva de Rego) จึงไม่จำเป็นจะต้องนำจินตภาพแห่งการก่อตั้งอาณานิคมของครอบครัวเกษตรกรจากประเทศโปรตุเกส ในดินแดนของแองโกลา โดยมีเป้าหมายว่าครอบครัวของเกษตรกรโปรตุเกสเหล่านั้น จำดำรงชีพด้วย “พืชพันธ์ธัญญาหารทั้งหมดที่พวกเขาจะเสาะแสวงหาได้ในแองโกลา และจากเกาะเซา โตเม” แต่เมื่อคณะสำรวจของเปาโล ไดแอส เดอ โนแวส เดินทางไปถึงลวนดา(Launda) ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1575 ปรากฏว่า การค้าทาสที่ลวนดาได้ดำเนินการไปอย่างเต็มที่แล้ว นอกจากนี้ สภาพอากาศอันวิปริตอย่างรุนแรงยังเป็นอุปสรรคต่อการตั้งถิ่นฐานของชนผิวขาว ทำให้โครงการตั้งอาณานิคมที่แองโกลาจึงต้องล้มเลิกอย่างรวดเร็ว เพราะรัฐบาลโปรตุเกสไม่สามารถจัดหาแรงงานทาส นิโกร(Negro slaves หรือ Pecas หรือ Pieces) มาสนับสนุนการตั้งอาณานิคมที่แองโกลาอย่างเพียงพอได้ความต้องการแรงงานทาสที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง เป็นสาเหตุของสงครามระหว่างชนพื้นเมือง (The-inter-tribal)อย่างดุเดือดในดินแดนที่อยู่ลึกเข้าไปในพื้นทวีป โดยมีมนุษย์กินคนเผ่ายักกัส (The cannibal Jagas)เป็นตัวการสำคัญ แต่เดิมนั้น โปรตุเกสเคยให้ความช่วยเหลือแก่กษัตริย์คองโก ในการต่อสู้กับผู้รุกรานที่มีแต่ความป่าเถื่อนแห่งชนเผ่ายักกัส ซึ่งพยายามจะบุกเข้าปล้นเมืองหลวงของคองโก แต่กลับถูกทหารโปรตุเกสแห่งป้อมเซา โตเมขับไล่ออกไปได้ทันท่วงที อย่างไรก็ตาม ชนเผ่ายักกัสส่วนใหญ่ในแองโกลานั้น มีความเป็นมิตรต่อชนผิวขาวด้วยดี โปรตุเกสได้จัดตั้งกองทหารอาสาพื้นเมืองขึ้น เรียกว่า”The gurra preta” ทหารอาสากองนี้เป็นผู้ช่วยของชาวโปรตุเกสในการปกครองชนพื้นเมืองเผ่าอื่นๆ ซึ่งมักจำก่อความไม่สงบบ่อยๆ โปรตุเกสจึงมักส่งทหารอาสาเผ่ายักกัสซึ่งตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะ ออกไปปราบชนเผ่าที่ก่อให้เกินความยุ่งยากทางการปกครอง การปราบปรามดำเนินไปอย่างโหดเหี้ยมทารุณ จึงเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกินความไม่สงบขึ้นมาอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างน่าเวทนา แต่การลุกฮือของทาสและกิจการค้าทาสก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลามากกว่า 200ปี

พฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้น เป็นที่มาของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ภายในประเทศโปรตุเกสโดยบาทหลวงมานูเอล เซเวริม เดอ เฟเรีย(Manuel Severim de Faria) แห่งมหาอาสนวิหารเดอะ แคนนอน ออฟ เอโวรา (The Canon of Evora Cathedral) ผู้ซึ่งเฝ้าติดตามสังเกตสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความเอน็จอนาถใจ ได้บันทึกไว้ว่า

“ไม่มีชาวโปรตุเกสคนใดเลยที่เห็นพ้องกับพฤติกรรมอันโหดร้ายทารุณ ความโหดร้ายมิใช่หนทางที่จะทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางการค้า และความสำเร็จในการเผยแพร่ศาสนาซึ่งมีความสำคัญเป็นอันมากต่อดินแดนแห่งนั้น”

ชาวโปรตุเกสส่วนใหญ่ มิได้ยอมรับต่อทัศนะดังกล่าวอย่างทันทีทันใดในขณะนั้นเลย ดังจะเห็นจากงานเขียนชิ้นสำคัญของอันโตนิโย เดอ โอลิเวอีรา เดอ คาดอร์เนากา(Antonio de Oliveiva de Cadornega) ชื่อ ”Historia des Guerras Angolanas” ซึ่งเขียนในลวนดาเมื่อค.ศ.1680 หลังจากที่เขาได้ใช้ประสบการณ์ในอาณานิคมมาแล้วถึงสี่สิบปี คาดอร์เนกาได้กล่าวเตือนอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยว่า ”พวกนอกศาสนาเหล่านี้ มิอาจถูกปกครองหรือถูกทำให้อ่อนโยนได้ด้วยความรัก นอกจากการใช้กำลังบังคับเท่านั้น” คาดอร์เนกาได้อ้างถึงคำแนะนำของอันโตนิโย เดอ อาบริว เดอ มิรันดา แห่งป้อมอัมบากา ซึ่งได้เสนอแก่ข้าหลวงแห่งอังโกลาเมื่อค.ศ.1640 โดยคาดอร์เนกาได้เสนอว่า การใช้มาตรการรุนแรงต่อชนเผ่านิโกรนั้น มีแต่จะให้ประโยชน์แก่โปรตุเกสอย่างไม่สิ้นสุด“สิ่งที่เราจะต้องปฏิบัติกับคนนอกศาสนาเหล่านี้ยิ่งกว่าชนชาติอื่นๆ คือการใช้หลัก-ผู้พิชิตจงเจริญเท่านั้น การลงโทษเฆี่ยนตีและการกักขัง เป็นสิ่งที่พวกนิโกรหวาดหวั่นที่สุด ดังเช่นชาวลิเบอร์ไทน์ เคยถูกชาวโรมันลงโทษเฆี่ยนตี เนื่องจากชาวโรมันไม่สามารถจะฝึกให้ชาวลิเบอร์ไทน์เชื่อฟังด้วยดีได้ มาตรการนี้ เป็นวิธีเดียวที่ชนชั้นปกครองและผู้ชนะใช้กับคนในบังคับ และเป็นหนทางเดียวที่เราควรจะกระทำ เพื่อความมีชัยในอาณาจักรเหล่านี้”

อีกฟากหนึ่งของทวีปอาฟริกา สถานการณ์ต่างก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอีกเช่นกัน นักบุกเบิกชาวโปรตุเกสได้พบว่า ดินแดนชายฝั่งตะวันออกตั้งแต่โซฟาลาถึงโซมาเลียนั้นถูกชาวอาหรับสวาฮิลียึดครองเป็นถิ่นอาศัยตลอดแนวชายฝั่งทะเลทั้งหมด ชาวพื้นเมืองเหล่านี้มีความเป็นอยู่แบบอาฟริกันอย่างมั่นคง เป็นเวลานานหลายร้อยปีแล้ว จากการแต่งงานและอยู่กินกับชนเผ่าบันตูภายใต้อารายธรรมอิสลามอย่างภาคภูมิใจ ชาวโปรตุเกสได้ติดต่อค้าขายกับชนเผ่าบันตูที่อาศัยอยู่ลึกเข้าไปในพื้นทวีป โดยใช้ลูกปัดและผ้าฝ้ายที่มาจากอินเดียเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนกับทองคำ งาช้างและทาสนิโกร ชาวโปรตุเกสเกือบจะเข้า ใจว่า โซฟาลาเป็นดินแดนแห่งเรื่องราวใบคัมภีร์ไบเบิล และพยายามจะผูกขาดการค้าทองคำกับโซฟาลาแต่เพียงผู้เดียว โดยได้สร้างป้อมปราการขึ้นที่โซฟาลาในค.ศ.1505 โปรตุเกสพยายามขับไล่พ่อค้าชาวสวาฮิลีออกจากโซฟาลา โดยการใช้ทั้งกำลังทหารและกลอุบาย เพื่อจะได้เป็นคู่ค้าโดยตรงกับชนเผ่านิโกร ซึ่งนำทองคำออกมาจากดินแดนในพื้นทวีป ความพยายามของโปรตุเกสประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะชาวสวาฮิลีได้ลงหลักปักฐาน ดำเนินชีวิตอยู่แทบทุกพื้นที่ในอาฟริกาตะวันออก ไม่ว่าตามริมน้ำลำธารและในป่าที่อยู่ลึกเข้าไปไม่กี่แห่งในพื้นทวีป ซึ่งกองทหารหน่วยเล็กๆของโปรตุเกสสามารถยึดครองเอาไว้ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการเดินทางเข้าไปในโซฟาลาของโปรตุเกส ได้ก่อให้เกิดความแตกแยกภายในชนพื้นเมืองเผ่ามากาลังกาขึ้นมาด้วย ดินแดนของชาวมากาลังกานี้ ชาวโปรตุเกสเรียกอย่างหรูหราว่า” ” โดยเชื่อว่าบัดนี้พวกเขาค้นพบ” เมืองซึ่งเต็มไปด้วยทองคำแห่งอาฟริกา” แล้ว การรบราฆ่าฟันกันเองภายในเผ่า ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่กัน จึงเป็นอุปสรรคต่อชาวโปรตุเกสในการเดินทางเข้าไปติดต่อกับชาวพื้นเมืองในดินแดนพื้นทวีป ซึ่งมีความลำบากยากเย็นมาก และยังเป็นอุปสรรคต่อชาวพื้นเมืองในการนำเอาทองคำออกมายังเมืองท่าชายฝั่งทะเลด้วย และในที่สุดโรคภัยไข้เจ็บในเขตร้อนอันร้ายแรงในแถบดินแดนชายฝั่ง(และในแถบลุ่มแม่น้ำแซมเบซี) ซึ่งมีความรุนแรงพอๆกับโรคภัยในดินแดนชายฝั่ง อาฟริกาตะวันตก ก็ได้คร่าชีวิตพ่อค้าและนักแสวงโชคชาวโปรตุเกสจำนวนมากดังที่เคยเป็นมาแล้วอย่างไรก็ตาม แม้จะมีอุปสรรคอื่นๆอีกมากมายซึ่งข้าพเจ้ามิได้กล่าวถึง แต่ชาวโปรตุเกสก็สามารถหาทองคำได้มากมายเช่นเดียวกัน แม้ว่าทองคำที่ได้มาจะมีจำนวนไม่มากเท่าทองคำที่เขาได้จากเซา จอร์ช ดา มินา ทองคำจากอาฟริกาตะวันออกเที่ยวแรกที่ส่งไปยังลิสบอนเมื่อค.ศ.1506นั้น ถูกใช้ทำกระถางบูชาที่เบเลม( )[9] โดยฝีมือของกิล วีซองเต( )[10]กวี-ช่างทอง( )ผู้มีชื่อเสียงที่สุดในขณะนั้น แต่ทองคำเที่ยวหลังๆซึ่งมีจำนวนเพียงเล็กน้อย และอย่างน้อยที่สุด ทองคำในส่วนที่เป็นราชทรัพย์ของกษัตริย์โปรตุเกส ถูกนำไปจากดินแดนแห่งลุ่มแม่น้ำทากัส( ) เพื่อใช้จ่ายในการซื้อสินค้าจำพวกพริกไทยจากดินแดนชายฝั่งมะละบาร์ โดยกองเรือที่เดินทางกลับจากการค้าขายในอินเดีย เจ้า หน้าที่ผู้หนึ่งซึ่งรับผิดชอบในการเดินเรือขณะนั้น ได้แสดงความข้องใจอย่างสุดซึ้งว่า การลงทุนค้าขายเพื่อการแลกเปลี่ยนทองคำที่โซฟาลานั้น “มิได้ช่วยให้กษัตริย์โปรตุเกสประหยัดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดนอกจากการขาดทุน” (จากบันทึกของอัลบูเคิร์กเมื่อค.ศ.1510) เนื่องจากข้าหลวงและเจ้าหน้าที่จำนวนมากของโปรตุเกสต่างก็พากันลักลอบค้าทองคำเพื่อตักตวงผลประโยชน์ส่วนตัว เจ้าหน้าที่โปรตุเกสบางกลุ่มได้นำผลกำไรจากการลักลอบค้าทองคำ ส่งไปซื้อพริกไทยในอินเดีย บางกลุ่มซึ่งมีจำนวนไม่มากนักส่งกำไรกลับไปยังลิสบอน นอกจากนี้ ในป่าแถบโซฟาลายังมีนักแสวงโชคชาวโปรตุเกสจำนวนมาก เข้าไปใช้ชีวิตและทำการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าจำพวกทองคำและงาช้างกับชาวบันตู นักแสวงโชคเหล่านี้มีจำนวนมากพอๆกับพวกแลงซาโดส( )และพวกตันโกมาโอส( )[11] ในแถบกินีและเซเนแกมเบียของอาฟริกาตะวันตก โดยทั่วไปแล้วเรายังไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับชื่อและพื้นเพของคนเหล่านี้ จนกระทั่ง คณะสำรวจของเอริก อาเซลสัน( ) ฮัก ตราซีย์( ) และอาเลซางเดรอ โลบาโต( )ได้ค้นพบเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้ โดยได้เปิดเผยเรื่องราวของอันโตนิโย เฟอร์นานโด( )นักโทษอดีตช่างไม้ประจำเรือผู้ซึ่งดั้นด้นเข้าไปจนถึงชนเผ่าบันตูผู้กระหายสงครามราวกับเทพเจ้า[12]ตรงกันข้ามกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในดินแดนชายฝั่งอาฟริกาตะวันตก กล่าวคือ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่16 ชาวโปรตุเกสยังไม่ให้ความสนใจในการค้าทาสที่ดินแดนชายฝั่งอาฟริกาตะวันออก แม้โปรตุเกสจะเกี่ยวข้องกับการค้าทาสมาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม แต่เป็นเพียงการค้าทาสเพื่อส่งไปรับใช้ภายในบ้าน หรือเป็นองครักษ์ การค้าทาสในลักษณะนี้ แตกต่างกับการส่งทาสจำนวนมากจากอาฟริกาตะวันตก ไปสนับสนุนความต้องการแรงงานทาสจำนวนมากจากอาฟริกาตะวันตกไปสนับสนุนความต้องการแรงงานทาส ซึ่งมีอย่างไม่รู้จักเพียงพอ เพื่อการเพิ่มผลิตผลในไร่น้ำตาลและเหมืองแร่เงินในอเมริกาใต้และอเมริกากลาง ในศตวรรษที่16ทองคำและงาช้างเป็นสินค้าสำคัญจากอาฟริกาตะวันตก และภายหลังจากประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการลงทุนที่โซฟาลา นับตั้งแต่ค.ศ.1530เป็นต้นมา โปรตุเกสก็มุ่งหน้าใช้ความพยายามทางการค้าส่วนใหญ่ในลุ่มแม่น้ำแซมเบซี

ระหว่างค.ศ.1498-1499 เมื่อวาสโก ดา กามาเดินทางไปถึงบริเวณที่ตั้งถิ่นฐานของชาวสวาฮิลี ปรากฏว่าชาวสวาฮิลีได้กลายเป็นพันธมิตรที่ซื่อสัตย์ของกษัตริย์โปรตุเกสมาเป็นเวลากว่าหนึ่งร้อยปี(ตามความหมายปัจจุบันคือประเทศบริวาร- )แต่สำหรับชาวสวาฮิลีที่มอมบาซา คิลวา( )และเมืองท่าอื่นๆอีกหลายแห่ง ต่างก็เรียกร้องหรือต่อต้านโปรตุเกสในเวลาต่อมาอย่างเปิดเผยบ่อยๆ และการกระทำของโปรตุเกสที่ตอบโต้แก่ชาวพื้นเมืองฝ่ายตรงข้ามกับตน ได้ถูกบันทึกโดยทูตชาวสเปน ผู้หนึ่ง ซึ่งเดินทางไปยังราชสำนักชาห์แห่งเปอร์เซีย( )หลังจากเหตุการณ์ได้ผ่านพ้นไปประมาณ 100 ปีเศษว่า

“ หลังจากชาวโปรตุเกสส่งกองเรือประจำปีเดินทางไปค้าขายกับอินเดียแล้ว ทหารและกลาสีโปรตุเกสได้บุกเข้าปล้น-ฆ่า-เผา-ทำลายถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของชาวมุสลิมอย่างโหดเหี้ยมทารุณโดยไม่ละเว้นแม้แต่ผู้หญิง เด็ก และคนชรา ด้วยความเกลียดชังอย่างลึกซึ้งต่อชาวมุสลิม ทุกวันนี้ชาวเกาะเลือดผสมอาหรับ-กาฟเฟอร์( ) ยังจดจำเหตุการณ์สยดสยองที่เกิดจากคมดาบของชาวโปรตุเกสได้ดี”ทูตสเปนผู้นี้ยังได้บันทึกเพิ่มเติมว่า ชาวโปรตุเกสบางคนต้องมนต์ขลังแห่งการค้าทองคำและการค้าทาสอย่างล้ำลึก จนต้องลงหลักปักฐานอาศัยทำมาหากินตามดินแดนชายฝั่งสวาฮิลีและตามหมู่เกาะแถบอาฟริกาตะวันออก ชาวโปรตุเกสเหล่านี้ได้แต่งงานอยู่กินกับหญิงพื้นเมืองชนเผ่าบันตูและชนเผ่าสวาฮิลี กิจกรรมของชาวโปรตุเกสในอาฟริกาตะวันออกนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า ประกอบด้วยการต่อสู้-การค้าขายและเปลี่ยนสินค้า-การผิดประเวณี( )กับหญิงพื้นเมืองสลับกันไป การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ของบาทหลวงชาวโปรตุเกสหลายคณะมีขึ้นตลอดแนวดินแดนชายฝั่งทะเลและในที่ราบลุ่มแม่น้ำแซมเบซี การเผยแพร่ศาสนาแก่ชาวบันตู ประสบความสำเร็จบ้างเล็กน้อย แต่การเผยแพร่ศาสนาแก่ชาวสวาฮิลีนั้น ประสบกับความล้มเหลว เนื่องจากอิทธิพลของศาสนาอิสลามได้หยั่งรากชอนไชลงไปในภูมิภาคแถบนี้ ตั้งแต่มอรอคโคไปจนถึงมินดาเนา อย่างมั่นคงและยาวนาน จึงนับเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการเผยแพร่ศาสนาคริสต์

ลัดขึ้นไปทางตอนเหนือของดินแดนชายฝั่งอาฟริกาตะวันออก ชาวโปรตุเกสได้ละเลยถิ่นฐานของชาวโซมาลี( )ผู้กระหายสงครามและคลั่งศาสนาไว้ตามลำพังอย่างชาญฉลาด ครั้นโปรตุเกสทำการติดต่อกับกษัตริย์เนกัสแห่งอบิสิเนีย( )เรียบร้อยในค.ศ.1520 โปรตุเกสจึงตระหนักด้วยความผิดหวังเมื่อได้ทราบว่า เพรสเตอร์ จอห์น ซึ่งพวกเขาได้เพียรพยายามในการค้นหามาเป็นเวลา นานนั้น มีสภาพเป็นเพียงอาณาจักรของกษัตริย์ที่มีวัฒนธรรมค่อนข้างล้าหลัง( )และยากจนแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบสูง แต่ถึงกระนั้น กองทหารของโปรตุเกสที่เข้าไปติดต่อกับอบิสสิเนียระหว่าง ค.ศ. 1541-1543 ก็ได้ช่วยป้องกันให้อาณาจักรอบิสสิเนียพ้นจากการรุกรานของชาวเตอรกี และได้ช่วยให้อบิสสิเนียรอดพ้นจากการถูกยึดครองของชาวมุสลิม ต่อมา เมื่อบาทหลวงคณะเจซูอิตเข้าไปเผยแพร่ศาสนาที่อบิสสิเนีย ปรากฏว่าได้รับความสำเร็จชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น และในระหว่างนั้นมีบาทหลวงหลายคนส่งงานเขียนอันทรงคุณค่ากลับไปยังยุโรปจำนวนมาก[13] แต่ในค.ศ.1633 บาทหลวงคณะเจซูอิตก็ถูกขับออกไป สิ่งที่ยังหลงเหลือทิ้งไว้คือการตอกย้ำหลักความเชื่อเก่าแก่ทางศาสนาและความเกลียดชังของชาวอบิสสิเนียน ที่มีต่อศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิก อันเป็นผลมาจากการทำงานของบาทหลวงคณะเยซูอิตโปรตุเกสไม่เคยยึดครองปากทางเข้าทะเลแดง การควบอ่าวเปอร์เซียนั้น โปรตุเกสดำเนินการโดยใช้วิธียึดครองเฮอร์มุซเมื่อค.ศ.1587 เพื่อใช้รักษาอำนาจของตน นับตั้งแต่อัลบูเคอร์กเดินทางมาถึง ซาห์แห่งเฮอร์มุซก็ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของโปรตุเกส แต่อิทธิพลของศาสนาอิสลามในเกาะเฮอร์มุซมีสูงมาก จนโปรตุเกสไม่สามารถจะทำลายล้างสุเหร่าและมัสยิดของชาวมุสลิมให้หมดสิ้นไปได้ ดังที่เคยกระทำทุกครั้งเมื่อมีโอกาสในดินแดนที่อยู่ใต้อำนาจของตน

นับตั้งแต่อัลบูเคอร์กเข้าไปรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการที่เมืองกัว นโยบายอันดับแรกของโปรตุเกสคือ การสร้างความนิยมที่มีต่อชาวโปรตุเกสให้เกิดขึ้นในหมู่ของชาวฮินดูหรือการแสดงความอดกลั้นให้มากที่สุดต่อชาวฮินดู ในขณะเดียวกันก็จัดการกับชาวมุสลิมอย่างเด็ดขาด ต่อมานโยบายนี้ได้เปลี่ยนแปลงเมื่อชาวโปรตุเกสพบว่า การดำเนินการต่างๆหากปราศจากคนรับใช้ชาวมุสลิมหรือการมีส่วนช่วยในการดำเนินการหลายๆด้าน อาทิ การจ้างกะลาสีเรือชาวกุจราชและชาวอาหรับประจำในเรือโปรตุเกส การว่าจ้างนายหน้าชาวสวาฮิลีให้ทำงานในสาขาบางแห่งแถบอาฟริกาตะวันออก การเดินทางเข้าไปในอินเดียของบาทหลวงคณะเจซูอิต เมื่อค.ศ.1542 และการตั้งศาลพิจารณาไต่สวนคดีทางศาสนา ( ) เมื่อค.ศ.1560 ได้สร้างความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นแก่ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธเป็นอันมาก เนื่องจากโปรตุเกสได้ทำลายโบสถ์และวิหารของชาวฮินดูและชาวพุทธที่อยู่ในเขตอิทธิพลของตนจนเกือบไม่เหลือซาก ยกเว้นวิหารของชาวฮินดูในเมืองดิอิว( )เท่านั้นที่ได้รับให้ใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจต่อไปได้ และสามารถซ่อมแซมได้ตามความเหมาะสม แต่ห้ามมิให้ชาวฮินดูสร้างศาสนสถานขึ้นมาใหม่แม้แต่แห่งเดียว สิทธิพิเศษของชาวฮินดูที่เมืองดิอิวนี้ ถูกบาทหลวงที่เคร่งศาสนามากๆว่ากล่าวโจมตีอยู่เสมอ แต่ก็ไม่อาจทำให้ข้อยกเว้นดังกล่าวถูกเพิกถอนไป เนื่องจากครั้งหนึ่ง บรรดาพ่อค้าชาวเมืองดิอิวเคยให้ความช่วยเหลือแก่บาทหลวงดอม อัฟฟองโซ เมนเดส( ) ซึ่งเป็นบาทหลวงอาวุโสของคณะเจซูอิตแห่งเอธิโอเปีย( ) เมื่อบาทหลวงผู้นี้ถูกชาวเตอรกีจับขังไว้ หลังจากที่คณะเจซูอิตถูกขับไล่ออกมาจากอบิสสิเนีย ดังนั้น เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณดังกล่าว บาทหลวงดอม อาฟฟองโซ เมนเดสจึงช่วยให้วิหารของชาวฮินดูแห่งเมืองดิอิวพ้นจากการถูกโปรตุเกสทำลายในคราวนั้น[14] อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่ขึ้นในอินเดียนั้น แตกต่างกับปัญหาที่เกิดขึ้นในตะวันออกไกล กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ของจีนที่เมืองกวางตุ้ง ได้ปฏิเสธความต้องการของโปรตุเกสที่จะทำลายวัดของชาวจีน และปฏิเสธคำสั่งของโปรตุเกสที่ห้ามมิให้ชาวจีนในมาเก๊าประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ ทำให้ชาวโปรตุเกสจำต้องอดทนต่อการปฏิบัติทางศาสนกิจของชาวจีนในมาเก๊าต่อไปแม้โปรตุเกสจะอ้างอยู่เสมอว่าไม่เคยใช้วิธีการบีบบังคับเพื่อให้ชาวพื้นเมืองหันมานับถือศาสนาคริสต์ แต่ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลโปรตุเกสได้ให้ความอุปถัมภ์แก่ศาสนาคริสต์เป็นอย่างยิ่ง โดยการออกกฎหมายที่มีลักษณะกดขี่และลำเอียงบังคับใช้ต่อชาวพื้นเมือง การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวในเวลาต่อมาทำให้ชาวพื้นเมืองจำนวนมากตามภูมิภาคต่างๆในเขตอิทธิพลของโปรตุเกสทิ้งศาสนาเดิมของตนและเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ กฎหมายที่สร้างความโกรธแค้นให้แก่ชาวพื้นเมืองส่วนใหญ่คือ กฎหมายที่ว่าด้วยการกำหนดให้เด็กกำพร้าถูกพรากจากญาติพี่น้องเพื่อนำไปเลี้ยงดูในครอบครัวของชาวคริสเตียนและเด็กๆจะถูกนับเป็นเด็กกำพร้าทันทีเมื่อบิดาของเขาถึงแก่กรรม แม้ว่ามารดาจะยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม กฎหมายนี้ สร้างความเดือดร้อนและความสะเทือนใจแก่ชาวพื้นเมืองอย่างกว้างขวาง ต่อมา การประชุมสังคายนาว่าด้วยบทบัญญัติทางศาสนาครั้งที่1 ที่เมืองกัวเมื่อค.ศ. 1567 ได้ห้ามชาวคริสเตียนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชนผิวขาวหรือผิวสี มิให้ติดต่อกับชาวมุสลิม ชาวฮินดูและชาวพุทธ รวมทั้งพวกนอกศาสนาลัทธิอื่น การแต่งงานกับพวกที่นับถือศาสนาดังกล่าวถือเป็นสิ่งต้องห้าม การติดต่อกับผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียนถูกจำกัดตามความจำเป็นทางการค้าเท่านั้นในทางปฏิบัติแล้ว คำสั่งซึ่งเปรียบเสมือนนโยบายแบ่งแยกกีดกันผิวในปัจจุบัน กลับถูกละเลยอย่างกว้างขวาง แม้ว่าการประชุมสังคายนาทางศาสนาที่เมืองกัวในเวลาต่อมาระหว่างคริสต์ ศตวรรษที่16-17 จะกระตุ้นให้รัฐบาลในอาณานิคมของโปรตุเกสสนับสนุนผลการสังคายนาเมื่อค.ศ. 1567 ก็ตาม

การประชุมสังคายนาทางคริสต์ศาสนาทีเมืองกัวในช่วงเวลาดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อตอกย้ำให้ตระหนักถึงกฎหมายทีรัฐบาลโปรตุเกสบัญญัติออกมาใช้ และเจาะจงบังคับต่อชาวคริสต์เตียนพื้นเมืองมากกว่าจะต้องการใช้บังคับแก่ชาวฮินดูและชาวมุสลิม การออกกฎหมายดังกล่าวเป็นนโยบายของกษัตริย์ของโปรตุเกส กฎหมายเหล่านี้เป็นสิ่งที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความเลวร้ายอันเกิดจากการกระทำของโปรตุเกส โดย โปรตุเกสมักจะแต่งตั้งให้ชาวฮินดูเป็นผู้ผูกขาดทางการเก็บค่าเช่านาและภาษีในอาณานิคมของตน เนื่องจากชาวฮินดูมีความสามารถทางการเงินและมีไหวพริบสูง เช่นเดียวกับชาวยิวส่วนใหญ่ ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการิเงินอย่างถูกกฎหมายในยุโรป ในทางตรงกันข้าม กฎหมายเหล่านี้มีลักษณะบีบบังคับต่อชาวฮินดู ชาวพุทธ ติ๊หม่าม และนักเทศน์มุสลิม รวมทั้งยังต่อต้านการใช้คัมภีร์ของศาสนาเหล่านี้อีกด้วย โปรตุเกสได้บังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ทำให้วัด โบสถ์ สุเหร่าและสถานที่สำคัญทางศาสนาของชาวพื้นเมือง ถูกชาวโปรตุเกสทำลายอยู่เสมอ การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ของศาสนาอื่นๆนอกเหนือจากศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิค จึงดำเนินไปด้วยความยากลำบาก และการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของลัทธิอื่นๆแทบจะไม่เกิดขึ้นเลยในอาณานิคมของโปรตุเกส ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ากระบวนการสนับสนุนการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ด้วยวิธีการต่างๆนั้น ทำให้อัตราการเข้ารีตของชาวพื้นเมืองเพิ่มสูงขึ้นมามาก แม้ในปัจจุบันก็ยังมีชุมชนของชาวคาธอลิคตั้งหลักแหล่งอยู่ตามดินแดนชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกประเทศอินเดีย ศรีลังกาและมะละกา[15]

การสถาปนาอำนาจของโปรตุเกสในดินแดนสามทวีปดำเนินไปอย่างราบรื่น ด้วยวิธีการทำให้เกิดสงครามภายในระหว่างเผ่าพันธุ์ สงครามระหว่างเชื้อชาติหรือผิวพรรณ และการแข่งขันชิงดีระหว่างชาติและยึดครองดินแดนหรือขยายอำนาจไปถึง เพื่อรักษาสถานภาพของโปรตุเกสนั่นเอง ทางด้านตะวันออกของทวีปแอฟริกา โปรตุเกสได้สนับสนุนให้บรรดาสุลต่านแห่งมาลินดีทำการต่อต้านผู้ปกครองแห่งมอมบาซาซึ่งมีอำนาจเหนือกว่าในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่16 ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่17โปรตุเกสได้ช่วยเหลือให้บรรดาเจ้าชายแห่งฟาซาต่อสู้กับเพื่อนบ้านชาวเพทผู้ก้าวร้าว ส่วนในดินแดนชายฝั่งแห่งมะละบาร์นั้น โปรตุเกสได้สนับสนุนให้ราชาห์แห่งโคชินต่อสู้กับกษัตริย์ซาโมรินแห่งคาลิกัตซึ่งเข้มแข็งกว่า และในค.ศ. 1683โปรตุเกสได้ทำให้เมืองกัวรอดพ้นจากการรุกรานของกษัตริย์ราชวงศ์โมกุลซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาวมารตะ สำหรับในลังกานั้น การแบ่งแยกชิงดีชิงเด่นกันระหว่างชาวสิงหลกับชาวทมิฬซึ่งมีมาโดยตลอด ทำให้โปรตุเกสสามารถเผยแพร่ศาสนาได้อย่างกว้างขวาง ชาวพื้นเมืองที่เข้ารีตส่วนใหญ่เป็นชาวทมิฬแห่งราชอาณาจักรจัฟฟนาปาตัม ทำให้ชาวสิงหลชาตินิยมสมัยใหม่กล่าวหาชาวทมิฬอยู่เสมอต่อการที่ชาวทมิฬให้ความร่วมมือกับโปรตุเกส ดัทซ์และอังกฤษอย่างเต็มใจ เมื่อชนชาติดังกล่าวเข้าไปยึดครองศรีลังกา และสิ่งที่ชาวทมิฬไดรับเป็นการตอบแทนคือ ผลประโยชน์ต่างๆและตำแหน่งหน้าที่ในรัฐบาล อย่างไรก็ตามแม้ข้อกล่าวหาดังกล่าวจะเกินเลยไปบ้าง แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดประการหนึ่งก็คือ ชาวทมิฬยอมรับศาสนาและอารยธรรมของชาวยุโรปมากกว่าชาวสิงหล

ต่อมาอำนาจและอิทธิพลของชาวโปรตุเกสในมลายา อินโดจีนและอินโดนีเซียมีความอ่อนแอกว่าในอาณานิคมแถบแอฟริกาและอนุทวีปอินเดียถ้าหากไม่นับชุมชนขนาดใหญ่ของชาวคาธอลิคในตังเกี๋ยและอันนัมแล้วอาจจะกล่าวได้ว่าทั้งชาวพุทธในอินโดจีนกับ ชาวมุสลิมในมลายาและอินโดนีเซีย ต่างก็มิได้มีส่วนช่วยให้การเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิคประสบกับความเจริญก้าวหน้า ระยะแรกๆนั้นการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในอินโดจีน มลายาและอินโดนีเซียถูกดำเนินการโดยบาทหลวงคณะเจซิอิตแห่งมิสซังคาธอลิคญี่ปุ่น ซึ่งถูกปิดลงนื่องจากการขับไล่ชาวโปรตุเกสออกไปจากญี่ปุ่นเมื่อค.ศ.1693 ส่วนชาวมุสลิมในมลายาและอินโดนีเซียนั้น ได้ต่อสู้ขัดขวางการเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกโดยโปรตุเกสอย่างรุนแรง ทำให้ศาสนาอิสลามขยายตัวและมั่นคงยิ่งขึ้น การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในภายหลังโดยบาทหลวงชาวโปรตุเกสที่แอมบัวนาและดินแดนบางส่วนของหมู่เกาะซุนดาน้อย(ได้แก่ โซเลอร์ ติมอร์ ฟลอเรส เอนเด) นั้น ประสบความสำเร็จด้วยดี เนื่องจากแถบนี้อิทธิพลของศาสนาอิสลามยังครอบงำเข้าไปในพื้นที่อันจำกัดดังกล่าวไม่มากเท่าใดนัก ส่วนที่มั่นของโปตุเกสในมะละกาและเขตที่ยึดครองได้ในเวลาต่อมาซึ่งมักจะเป็นดินแดนที่มีอันตรายเสมอ เนื่องจากการต่อสู้แข่งขันกันระหว่างสุลต่านแห่งเทอร์เนตกับสุลต่านแห่งทิดอร์ และการชิงดีชิงเด่นกันระหว่างเชื้อพระวงศ์ในราชตระกูลเดียวกันแห่งแอมบวนและฮัลมาเฮลา

ในทางตรงกันข้าม อิทธิพลทางวัฒนธรรมของโปรตุเกสในหมู่เกาะเครื่องเทศ มีมากกว่าอิทธิพลทางวัฒนธรรมของดัทช์ ซึ่งครอบครองหมู่เกาะเครื่องเทศในเวลาต่อมาถัดจากโปรตุเกส ดัทช์เป็นชนชาติที่มีอิทธิพลอย่างกว้างขวางในเหมู่เกาะเครื่องเทศ จากการครอบครองดินแดนแถบนี้เป็นเวลานานร่วม350ปี โดยใช้เวลาไม่ถึง 100ปีในการชิงอำนาจจากโปรตุเกส ชาวยุโรปทุกคน นับตั้งแต่วิลเลียม วอลเลส นักธรรมชาตินิยมคนสำคัญเมื่อประมาณหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา ต่างก็เห็นพ้องกันว่า โปรตุเกสได้ทิ้งร่องรอยทางวัฒนธรรมได้เด่นชัดและลึกซึ้งมากกว่าอิทธิพลทางวัฒนธรรมของดัทช์เสียอีก

สำหรับในตะวันออกไกลนั้น โปรตุเกสไม่เคยนำนโยบายการใช้อำนาจกดขี่บังคับมาปฏิบัติเลย แต่การค้าและศาสนาของโปรตุเกสในภูมิภาคนี้ก็มีความเจริญรุ่งเรืองชั่วระยะเวลาหนึ่ง ความเจริญทางด้านการค้าของโปรตุเกสในย่านทะเลจีน เกิดขึ้นในช่วงค.ศ.1543-1640 ซึ่งนับเป็นเวลานานเกือบหนึ่งร้อยปี ความเจริญทางการค้าของโปรตุเกส เกิดจากการที่จักรพรรดิจีนแห่งราชวงศ์หมิงทรงห้ามมิให้ชาวจีนทำการค้าทางทะเล และห้ามมิให้มีการติดต่อกับประเทศราช ที่อยู่ภายใต้จักรวรรดิจีน รวมทั้งห้ามติดต่อกับญี่ปุ่นด้วย เนื่องจากในระยะเวลาที่ผ่านมานั้น จีนต้องประสบกับปัญหาการรบกวนจากโจรสลัดตามดินแดนชายฝั่งทะเลอยู่ตลอดเวลา คำสั่งดังกล่าวไม่มีผลบังคับทางการปฏิบัติเท่าใดนัก หากแต่มีผลอย่างเพียงพอ ต่อการทำให้โปรตุเกสสามารถผูกขาดทางการค้าระหว่างจีนกับญี่ปุ่นในช่วงนี้ได้ ดังนั้นเมื่อดัทช์กับอังกฤษพยายามจะเข้ามามีส่วนร่วมในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางการค้าแถบทะเลจีน ในช่วงยี่สิบห้าปีแรกของคริสต์ศตวรรษที่17 จึงถูกโปรตุเกสดำเนินการขัดขวางอย่างเต็มที่ การค้าสามเศร้าระหว่างกวางตุ้ง มาเก๊า และนางาซากิ และการค้าระหว่างมนิลากับมาเก๊านั้นขึ้นอยู่กับการแลกเปลี่ยนผ้าไหมและทองคำของจีนกับเงินและทองแดงของญี่ปุ่น

นอกจากทรัพย์สินจำนวนมากมายเหล่านี้แล้ว สิ่งสำคัญที่โปรตุเกสนำเข้าไปยังเอเชียตะวันออกคือศาสนาคริสต์และเป็นใหญ่ แม้ว่าทั้งสองสิ่งดังกล่าวนี้จะไม่เป็นที่ยอมรับเท่ากับยาสูบ ซึ่งโปรตุเกสนำเข้าไป ในภายหลังก็ตามผู้ริเริ่มก่อตั้งมิสซังคาธอลิกแห่งญี่ปุ่นคือนักบุญ ฟรังซิส เซเวีย การดำเนินการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ของมิสซังคาธอลิกญี่ปุ่น ประสบความสำเร็จด้วยดีในคริสต์ศตวรรษที่17 จึงเป็นแรงกระตุ้นให้บาทหลวงคณะเจซูอิตเกิดความหวังขึ้นมาว่า จะมีชาวญี่ปุ่นเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกเป็นจำนวนมาก ทดแทนการเอาใจออกห่างจากความเชื่อของชาวเกาะอังกฤษ แต่ความหวังนี้ก็พังทลายไปเมื่อโชกุนโตกูงาวะ ได้ประกาศใช้มาตรการขับไล่และปราบปรามชาวโปรตุเกสในค.ศ.1613 ทำให้เกิดเหตุการณ์ฆ่าฟันชาวคาธอลิกในญี่ปุ่นอย่างนองเลือดในช่วงก่อนจะถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่17 แต่ถึงกระนั้น ก็ยังคงมีการประกอบพิธีกรรมทางคริสต์ศาสนาอย่างลับๆกันในเกาะฮอนชู จนกระทั่งญี่ปุ่นเปิดการติดต่อกับต่างประเทศอีกครั้งในอีกสองร้อยปีต่อมา ส่วนมิสซังคาธอลิกในจักรวรรดิจีนรอดพ้นจากการถูกทำลายมาได้ ด้วยการหยั่งรากแทรกซึมทีละน้อยๆแต่มีความมั่นคงกว่า จากการดำเนินการเผยแพร่ศาสนาในช่วงเวลาอันยาวนานของบาทหลวงคณะเจซูอิต แม้ว่าการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในจีน ส่วนใหญ่จะเป็นผลงานของบาทหลวงเจซูอิตชาวอิตาเลียน เยอรมัน เฟรมมิช และฝรั่งเศสมากกว่าบาทหลวงชาวโปรตุเกส

ชาวโปตุเกสมักจะอ้างอยู่เสมอว่า จักรวรรดิโปรตุเกสไม่มีระบบการแบ่งแยกหรือกัดกันผิว คำกล่าวนี้ ไม่มีหลักฐานสนับสนุนเด่นชัด แต่สิ่งที่น่าเชื่อถือได้มากก็คือ โปรตุเกสให้เสรีภาพแก่ชาวพื้นเมืองในการประกอบศาสนากิจมากกว่าผู้ปกครองชาวดัทช์ ชาวฝรั่งเศสและชาวอังกฤษ ศาสนจักรของโปรตุเกสมีหลักการคล้ายกับศาสนจักรสเปนต่อการไม่ยินยอมให้บาทหลวงผิวสีหรือบาทหลวงที่เป็นคนครึ่งชาติได้มีโอกาสเลื่อนสมณศักดิ์อยู่เป็นเวลานานโดยการแสดงความอยุติธรรมออกมาอย่างเห็นได้เด่นชัด บาทหลวงคณะเจซูอิต เป็นนักบวชคณะแรกที่วางรากฐานของทฤษฎีแห่งการไม่แบ่งแยกกีดกันผิวพรรณ แนวความคิดในการยกเลิกการกีดกันผิวนี้ถูกยอมรับอย่างรวดเร็วในเอเชียและแอฟริกา ภายใต้แรงกดดันจากโปรตุเกส สำหรับในสถานที่ซึ่งมีการผ่อนปรนปัญหาการรังเกียจผิวนั้น คณะทำงานมักประกอบด้วยบาทหลวงชาวอิตาเลียน โดยไม่มีบาทหลวงชาวโปรตุเกสร่วมงานด้วยเลย บาทหลวงอเลกซานเดอร์ วาลินาโนชาวอิตาเลียน ตำแหน่ง “ “ เป็นผู้หนึ่งที่ได้ยืนกรานให้มีการเปิดประตูรับชาวญี่ปุ่นเข้าเป็นบาทหลวงในคณะสงฆ์ เมื่อค.ศ.1582 แนวความคิดนี้ทำให้มีการยอมรับสถานภาพของบาทหลวงพื้นเมืองชาวจีนและเกาหลีในภายหลังด้วย ส่วนชาวอินเดียกว่าจะไดรับการรับรองสถานภาพก็กินเวลานานมากสำหรับชาวนิโกรและอเมรินเดียนนั้น แทบจะไม่ถูกยอมรับสถานภาพเลยก็ว่าได้ตลอดสมัยอาณานิคมครั้นสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่17 บาทหลวงคณะเจซูอิตชาวโปรตุเกสผู้หนึ่ง ซึ่งเกิดในบราซิลแต่ได้ปฏิบัติหน้าที่เผยแพร่ศาสนาคริสต์ ในมิสซังคาธอลิกที่อินเดียเป็นเวลานาน เขาได้กล่าวด้วยความชื่นชมถึง “ลักษณะของชาวโปรตุเกสซึ่งชิงชังเชื้อชาติทั้งหมดของชาวเอเชียเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง”สำหรับมิสซังคาธอลิกคณะฟรานซิสกันนั้น มีการบัญญัติข้อห้ามมิให้ยอมรับนักบวชที่มีเชื้อสายดั้งเดิมเป็นชาวมุสลิม หรือมีบรรพบุรุษเป็นพวกนอกศาสนาย้อนหลังไปประมาณสี่ชั่วอายุคน จึงมีลูกครึ่งบางคนเท่านั้นที่หลีกเลียงบัญญัติข้อนี้ได้สำเร็จ โดยการประกาศว่าตนมีบรรพบุรุษเป็นชนผิวขาวแท้ๆ ส่วนบาทหลวงที่มีบิดามารดาเป็นชาวยุโรปแต่เกิดในเอเชีย ก็ถูกรังเกียจเหยียดหยามเช่นกันจากบาทหลวงผู้ร่วมงานซึ่งถือกำเนิดในประเทศโปรตุเกส โดยเรียกพวกเขาว่า “นิโกร” อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ เพื่อเป็นการยืนยันว่าคนเหล่านี้ไม่มีคุณค่าแต่อย่างใดเลย ในทศวรรษค.ศ.1630 มิสซังคาธอลิกฟรานซิสกันได้พยายามดำเนินการเพื่อกีดกันมิให้บาทหลวงที่มีบิดามารดาเป็นชาวยุโรป แต่ถือกำเนิดในเอเชีย มีโอกาสดำรงตำแหน่งระดับสูงในคณะสงฆ์ นโยบายดังกล่าวประสบความล้มเหลว เมื่อมีการส่งมอบบัญชีรายชื่อของบาทหลวงที่เกิดในอินเดีย(แต่มิใช่ชาวอินเดีย)ไปยังกรุงโรม เพื่อยื่นเสนอต่อพระสันตะปาปา เพื่อให้ทรงทราบถึงความแตกต่างทางผิวพรรณเละกิริยาท่าทางของชนผิวขาวที่เกิดในอินเดียและชาวอินเดีย จากบุรุษผู้นำบัญชีรายชื่อบาทหลวงในอินเดียไปเปิดเผยที่โรมได้รับความสมหวังตามเป้าหมายที่วางไว้และได้รับคำวินิจฉัยว่า นักบวชทีมีเชื้อสายของชนผิวขาวบริสุทธิ์แต่เกิดในอินเดียนั้น ก็มีสิทธิ์ได้รับความเอื้อเฟื้อจากกฎหมายเลือกที่รักมักที่ชังของรัฐบาลโปรตุเกสด้วย แต่ผลลัพธ์อันเกิดจากความพยายามของเขามีขึ้นภายหลังจากได้ดำเนินการชักนำ ที่ราชสำนักแห่งกรุงแมดริด(ขณะนั้นโปรตุเกสถูกปกครองโดยกษัตริย์สเปน)และกรุงโรม ท่ามกลางการถูกคัดค้านอย่างรุนแรงจากบาทหลวงผู้ร่วมงานที่เกิดในประเทศโปรตุเกส ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากท่านเคานท์แห่งลินฮาร์ส ผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสแห่งอินเดียระหว่างค.ศ.1629-1637 [16].

กษัตริย์โปรตุเกสไม่ทรงเคยมีนโยบายเกี่ยวกับการกีดกันและแบ่งแยกทางผิวสีที่ชัดเจนและมั่นคงเลย กษัตริย์โปรตุเกสในอดีตที่ผ่านมาก่อนหน้านั้นเคยบัญญัติไว้ว่า ศาสนาและสีผิวมิใช่บรรทัดฐานแห่งการเป็นพลเมืองของโปรตุเกส และชาวเอเชียทั้งหมดที่เข้ารีตเป็นคริสเตียนแล้วจะได้รับการปฏิบัติจากรัฐบาล อย่างเท่าเทียมเยี่ยงเดียวกับชาวโปรตุเกส พระราชประสงค์ดังกล่าวของกษัตริย์โปรตุเกสดูเหมือนว่าจะมิได้รวมความไปถึงการปฏิบัติต่อชาวอเมรินเดียนหรือชาวนิโกร แม้ว่าชาวอเมรินเดียนจะได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษให้รอดพ้นจากการถูกจับไปเป็นทาสซึ่งโดยแท้ที่จริงแล้วนั้น การค้าทาสเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งแห่งอาณาจักรลูซิตาเนียน ไร่น้ำตาลในบราซิล คนรับใช้ในบ้านของชาวโปรตุเกสในอาณานิคมทั้งสามทวีปและแม้แต่การปกป้องคุ้มครองถิ่นฐานของชาวโปรตุเกสในดินแดนบางแห่ง ก็ยังต้องอาศัยเรี่ยวแรงจากทาส(โดยเฉพาะทาสชาวอาฟริกัน)เป็นสำคัญิ[1] R.Ricard,Etudes sur I’histoire des Portugais au Maroc (Coimbra,1955)[2] J.W. Blake, European in West Africa, 1450-1560, (London,1942),2vols.,vol1,p.312quoting Richard Rainold’s account of 1591[3] คือภาษาลูกผสมระหว่างโปรตุเกส สเปน อิตาลี กรีกและฝรั่งเศส ปนเปกันจนกลายเป็นอีกภาษาหนึ่ง[4] Joao de barros,Dacada 1,Livro 3,cap.7…Buletim da Socidas de Geografia de Lisboa,Ser.77,Nos.1-3,pp.27-55,1959.[5] ไกอุส ซาลุสติอุส คริสปุส( Gaius Sallustius Crispus) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ซอลุสต์(Sallust, 86-34 BC) นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันซึ่งเกิดในครอบครัวสามัญชน(ชนชั้นเพลเบียน, Plebeian) ที่เมืองซาบีนส์(Sabines) ตลอดชีวิตของการเป็นนักประวัติศาสตร์ เขายึดหลักประชานิยม(Popularis) ต่อต้านพรรคของปอมปีย์(Pompey)และบรรดาชนชั้นปกครองเดิมซึ่งอยู่ในกรุงโรม (ผู้แปล : ขอขอบคุณ Wikipedia ที่สนับสนุนข้อมูล)[6] Cf. Antonio Brasio,C.S.Sp.,Monumenta MissionnaryAfricana. Africa Ocidental 1471-1646(Lisboa,1952-60),9 vols[7] หมายถึงบาปหลวงนิกายโรมันคาธอลิก ที่มักเดินทางจาริกเผยแพร่ศาสนา4คณะคือ Gray Friars(Franciscan),Austin Friars(Augustines),White Friars(Carmelites)[8] หมายถึงบาทหลวงทั่วไป[9][10] กิล วีซองเต (ประมาณค.ศ.1465-1537) กวี-ช่างฝีมือและนักแต่งบทละครคนสำคัญชาวโปรตุเกส[11] คำเรียกชาวโปรตุเกสที่เป็นผู้ลี้ภัย อาชญากร พวกผิดประเวณีในสายเลือดเดียวกัน คนกลุ่มนี้พยายามใช้ชีวิตโดยการปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตแบบพื้นเมือง มีอาชีพเป็นพ่อค้าคนกลางระหว่างคนผิวขาวกับผิวดำ พวกเขาถูกชาวโปรตุเกสที่มาจากประเทศแม่ดูถูกเหยียดหยามมาก[12][13][14][15][16]

3.Four Centuries of Portuguese Expansion,1415-1825 : a Succint Survey by C.R. Boxer

บทที่3 การช่วงชิงแหล่งเครื่องเทศ น้ำตาล ทาสและการสู้ชีวิตในคริสต์ศตวรรษที่17

by C.R. Boxer (แปลโดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร / ร่างรอขัดเกลาสำนวน พิสูจน์อักษร อ้างอิงและกำกับภาษาต่างประเทศ)

ความพ่ายแพ้ของโปรตุเกสและการสิ้นพระชนม์กษัตริย์ดอม เซบัสติอาว( ) ผู้ทรงไร้รัชทายาทจากการสงครามที่อัลคาเซอร์ เคบีร์()ในมอรอคโค เมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ.1578 ทำให้กษัตริย์ฟิลิปที่ 2() แห่งสเปนทรงอ้างสิทธิเป็นกษัตริย์โปรตุเกสเมื่อ ค.ศ.1580 การประกาศอ้างพระราชสิทธิของพระองค์เป็นไปอย่างถูกกฎหมาย ยิ่งไปกว่านั้น การสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์เฮนริก( )ในปีเดียวกันก็ทำให้บัลลังก์ของโปรตุเกสว่างลง และพระบรมราชโองการของกษัตริย์ฟิลิปที่2 แห่งสเปน ยังถูกบังคับใช้ด้วยความช่วยเหลือดุ๊กแห่งอาลวา( ) ผู้ทรงมีประสบการณ์ การประกาศรวมราชอาณาจักรสเปนและโปรตุเกสโดยใช้เงินเม็กซิกันมูลค่ามหาศาลอย่างระมัดระวัง ทำให้กษัตริย์ฟิลิปที่2 ทรงได้รับการยกย่องอย่างสมพระเกียรตเหนือราชอาณาจักรใหม่ของพระองค์ กษัตริย์ฟิลิปที่2ทรงตรัสว่า “ข้าพเจ้ามีกรรมสิทธิ์ในการสืบทอดราชบัลลังก์โปรตุเกสทั้งจากการเป็นทายาทและซื้อมาอย่างถูกต้อง( )

ภาพงานเฉลิมฉลองนักบุญเซา กงซาลู ดามารันตึ(São Gonçalo d' Amarante)ที่เมืองบาเอีย(Bahia) เมื่อ ค.ศ.1718

(เริ่มการพิสูจน์อักสอนต่อ)โปรตุเกสและสเปนมีกษัตริย์องค์เดียวกันนานถึง 60 ปี(ค.ศ.1580-1640:ผู้แปล) ทำให้ชาวโปรตุเกสผู้รักชาติเปรียบเทียบสถานการณ์ช่วงนี้ว่า คล้ายกับกรณีที่ชาวบาบิโลเนียนจับชาวยิวเป็นเชลย

(foot note)1. อาณานิคมของจักรวรรดิไอบีเรียนซึ่งเริ่มต้นในค.ศ.1580 และสิ้นสุดเมื่อค.ศ.1640นั้น มีดินแดนอยู่ในการยึดครองตั้งแต่มาเก๊าจนถึงโปโตซี( ) ในเปรู จักรวรรดิไอบีเรียนจึงเป็นดินแดนยิ่งใหญ่อันดับแรกของโลกที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน การอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์โปรตุเกสโดยกษัตริย์ฟิลิปปินที่2แห่งสเปนในค.ศ. 1580 ถูกต่อต้านเพียงเล็กน้อยพอเป็นพิธีจากชาวโปรตุเกส ขณะที่ขุนนางโปรตุเกสจำนวนมากต่างก็พอใจกับการรวมประเทศ
(footnote)1.เมื่ออาณาจักรอิสราเอลของชาวยิวตกเป็นชาวแอสซีเรียนในศตวรรษที่แปดก่อนคริสต์กาลและอาณาจักรจูดาห์ของชาวยิว ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอาณาจักรอิสราเอลตกเป็นของชาวแคลเดียนในศตวรรษที่หกก่อนคริสต์กาล ทำให้ชาวยิวถูกกวาดต้อนเข้าไปอยู่ในอาณาจักรบาบิโลนเป็นยุดที่รู้จักกันในพระคัมภีร์เก่าว่า “ The Babyloniarl Captirity” ผู้แปล

ในการรวมตัวของประเทศสเปนแต่พลเมืองโปรตุเกศส่วนใหญ่ซึ่งมีความขุ่นเคืองต่อการรวมประเทศกับสเปนนั้น ยังคงสับสน ท้อแท้และตกอยู่ในสภาวะขาดผู้นำหลังเหตุการณ์โศกนาฎกรรมแห่งสมรภูมิอัลคาเซอร์-เคบีร์ นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกทางเชื้อชาติอย่างรุนแรงอีกด้วย กษัตริย์ฟิลิปที่2ผู้รอบคอบจึงโปรดให้สภาแห่งโตมาร์( ) พิจารณาสถานภาพการเป็นรัชทายาทของพระองค์เหนือบัลลังก์โปรตุเกส จึงเป็นที่ยอมรับว่าจักรวรรดิแห่งอาณานิคมซึ่งแยกอำนาจจาการปกครองออกจากกันนั้น ได้เกิดขึ้นแล้วอย่างถูกต้อง ในทำนองเดียวกับการรวมประเทศของราชอาณาจักรสกอตแลนด์และอังกฤษ( ) ให้อยู่ภายใต้กษัตริย์องค์เดียวกันนั้น เกิดขึ้นนับตั้งแต่การครองราชย์ของกษัตริย์เจมส์ที่6 (หรือกษัตริย์เจมส์ที่ 1 แห่งสกอตแลนด์) โดยมีกฎหมายแห่งการรวมราชอาณาจักร( ) เป็นพื้นฐานรองรับ กษัตริย์ฟิลิปที่2 (หรือฟิลิปที่1แห่งโปรตุเกส) ทรงตั้งปฏิญานว่า จะทรงจรรโลงไว้ซึ้งกฎหมายและภาษาโปรตุเกส จะทรงขอความเห็นจากที่ปรึกษาชาวโปรตุเกสในกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับโปรตุเกสและดินแดนโพ้นทะเลของโปรตุเกส จะทรงแต่งตั้งชาวโปรตุเกสเท่านั้นเป็นเจ้าหน้าที่ในอาณานิคมของโปรตุเกสและประการสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ การห้ามมิให้ชาวสเปนเข้าไปค้าขายและตั้งถิ่นฐานในอาณานิคมของโปรตุเกสอย่างเด็ดขาด และชาวโปรตุเกสก็จะต้องยึดถือข้อบังคับเช่นเดียวกันนี้ด้วยในดินแดนของสเปนด้วยกษัตริย์ฟิลิปที่2ของสเปน(หรือที่1ของโปรตุเกส) และรัชทายาทของพระองค์(กษัตริย์ฟิลิปที่3ของสเปน-ที่2ของโปรตุเกส) ทรงตั้งมั่นอยู่ในสัตย์ปฏิญานที่ทรงพระราชทานแก่ชาวโปรตุเกสเป็นอย่างดี ครั้นถึงรัชสมัยของกษัตริย์ฟิลิปที่4 สิทธิพิเศษของชาวโปรตุเกสค่อยๆถูกบั่นทอนลดน้อยลงไป เนื่องจากนโยบายการรวบรวมอำนาจทางการปกครอง ซึ่งเคานท์..........ดุ๊ค แห่งโอลิวาเรส( ) อัครมหาเสนาบดี( )ของกษัตริย์ฟิลิปที่4เป็นผู้นำมาใช้เป็นคนแรก ความต้องการของเคานท์-ดุ๊คแห่งโอลิวาเรสคือสถาปนาอำนาจและความมั่นคงให้แก่ราชวงค์คาสติลเลียนของสเปน ดังที่ริเซอลิเออ( ) คู่แข่งคนสำคัญของโอลิวาเรสกำลังดำเนินการเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่แด่กษัตริย์แห่งฝรั่งเศสนโยบายดั้งกล่าวทำให้โอลิวาเรสมีความขัดแย้งกับกลุ่มอิทธิพลทางเศรษฐกิจเช่น ขุนนางและศาสนจักร อีกทั้งยังนำไปสู่ความไม่พอใจที่มีต่อการปกครองจากกรุงมาดริดด้วย โปรตุเกสกับสเปนต่างก็มีความไม่พอใจซึ่งกันและกัน ดั้งจะเห็นจากปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อชาวโปรตุเกสกล่าวหาว่า ความเกี่ยวดองทางเครือญาติกับราชวงค์คาสติลเลียนเป็นต้นเหตุให้โปรตุเกสต้องพลอยเป็นปฏิปักษ์กับศัตรูของสเปนด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นศัตรูกับดัทช์และอังกฤษ นอกจากนี้ทหารโปรตุเกสยังต้องร่วมรบกับสเปนในการทำสงครามที่ฟลันเดอร์( )และอิตาลี( )ด้วยส่วนชาวสเปนได้ตำหนิว่า ชาวโปรตุเกสไม่เต็มใจในการร่วมรบ และยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่เมืองท่าต่างๆของโปรตุเกสกีดกันไม่ให้ชาวสเปนมีส่วนร่วมผลประโยชน์อย่างเคร่งครัด แต่ชาวโปรตุเกสและโปรตุเกสเชื้อสายยิวส่วนใหญ่ ต่างพากันแทรกซึมเข้าไปภูมิภาคอันอุดมสมบูรณ์ที่สุดของเม็กซิโกและเปรู บรรดาที่ปรึกษาแห่งศาลทางศาสนาที่กรุงมาดริด( The Counsulors of the Inquistion Madid) ได้สะท้อนปรากฏการณ์ดังกล่าวออกมาเมื่อพวกเขายืนยัน(แม้จะเกินเลยจนเห็นได้ชัด)ในค.ศ.1623ว่า มีชาวโปรตุเกสเชื้อสายยิวอยู่ในเปรูมากกว่าผู้ตั้งถิ่นฐานชาวสเปนเรื่องที่ชาวโปรตุเกสอ้างว่า การรวมประเทศกับสเปนทำให้โปรตุเกสต้องเป็นปรปักษ์กับมหาอำนาจฝ่ายโปรเตสแตนท์เป็นสิ่งไม่ยุติธรรม ดัทช์และอังกฤษจะต้องเป็นศัตรูกับโปรตุเกสอย่างไม่ต้องสงสัยเมื่อโปรตุเกสประกาศว่า น่านน้ำทางตะวันออกของแหลมกู้ดโฮป และน่านน้ำส่วนใหญ่ทางตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดีย เป็นของโปรตุเกสแต่ผู้เดียวตามความเป็นจริงแล้ว การที่กษัตริย์ฟิลิปทรงพยายามปราบปรามความกระด้างกระเดื่องในเนเธอร์แลนด์(Nerthenland) และการที่กษัตริย์เชื้อสายของพระองค์ทรงห้ามมิให้จักรวรรดิไอบีเรียนติดต่อค้าขายกับดัทช์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวดัทช์มีความมุ่งร้ายต่อโปรตุเกส ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดัทช์ตัดสินใจทำสงครามโพ้นทะเลและเปิดการจู่โจมอาณานิคมของสเปนและโปรตุเกส ทำให้ดัทช์มีปัจจัยทางเศรษฐกิจสนับสนุนการทำสงครามในยุโรป หลังจากนั้นโปรตุเกสซึ่งเป็นเพียงอาณาจักรอ่อนแอที่รวมอยู่ในจักรวรรดิไอบีเรียนจึงได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของดัทช์พอๆ กับสเปนอย่างไม่อาจหลีกเหลี่ยงได้ ขณะที่การต่อสู้กำลังดำเนินอยู่นั้น ชาวดัทช์ได้หันมาโจมตีอาณานิคมในเอเชีย อาฟริกาและอเมริกาใต้ของโปรตุเกสมากยิ่งขึ้น การรุกรานอาณานิคมชายฝั่งทะเลของชาวโปรตุเกสเกือบทุกแห่ง มีสภาพอ่อนแอกว่าเม็กซิโกและเปรู ประเทศราช(Vice royalties)เป็นพื้นทวีปของสเปนซึ่งได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจากการโจมตีทางเรือเป็นที่น่าสังเกตว่า การขยายอิทธิพลของดัทช์เหนือทะเลโปรตุเกสในทะเลทั้งเจ็ด( )ในครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่17นั้น ใช้วิธีการเขียนด้วยการขยายอำนาจไปสู่อาณานิคมโพ้นทะเลของสเปนและโปรตุเกสในครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่16 อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเพียงแต่หมายถึงผลกระทบจากการขยายอิทธิพลของดัทช์ ที่มีต่อการสลายตัวของจักรวรรดิโปรตุเกศเท่านั้น การต่อสู้ระหว่างดัทช์กับโปรตุเกส เริ้มขึ้นในต้นคริสต์ศตวรรษที่17และสิ้นสุดเมื่อดัทช์สามารถยึดครองอาณานิคมของโปรตุเกสตามดินแดนชายฝั่งมะละบาร์( Malabar) ในค.ศ.1663แต่สันติภาพที่แท้จริงได้เกิดขึ้นในอีก 6 ปีต่อมา จึงอาจกล่าวได้ว่า สงครามอาณานิคมอันยืดเยื้อเกิดขึ้นในรูปของการช่วงชิงแหล่งเครื่องเทศในเอเชีย แหล่งทาสในอาฟริการตะวันตก และแหล่งน้ำตาลในบราซิล ผลลัพธ์ที่สะท้อนให้เห็นคือ-ชัยชนะของดัทช์ในเอเชีย-การต่อสู้ที่ไม่ปรากฏความมีชัยหรือการพ่ายแพ้ในแอฟริการตะวันตก-และชัยชนะของโปรตุเกสในบราซิล การต่อสู้ของดัทช์และโปรตุเกสในสามทวีปและห้าทะเล ดังจะกล่าวโดยสังเขปตามเนื้อหาต่อไปนี้ชัยชนะระยะแรกของดัทช์ในแถบเอเชียตะวันออก เริ่มต้นด้วยการยึดครองหมู่เกาะเครื่องเทศเมื่อค.ศ.1605 ถูกชาวโปรตุเกสต่อต้านอย่างแข็งแรงที่เกาะทิดอร์ และยึดครองเกาะแอมบัวนาโดยปราศจากการต่อต้าน ในปีต่อมานั้นเอง ชาวสเปนที่ฟิลิปปินส์ได้ฉวยโอกาสเป็านศัตรูกับโปรตุเกส โดยการยึดครองเกาะทิดอร์และปกครองพื้นที่บางส่วนของเกาะเทอร์เนตเอาไว้จนกระทั่ง เมื่อทัพเรือของจีนบุกเข้าโจมตีมนิลาในปีค.ศ.1662 สเปนจึงถอนทหารจากหมู่เกาะโมลุกกะกลับไปยังมลิลา ระหว่างนั้นดัทช์ได้ทำความเสียหายแก่เมืองท่าการค้าแห่งต่างๆของโปรตุเกสได้อย่างไม่ปรานีปราศรัย—ดัทช์ได้ใช้เรือรบปิดกั้นทางเดินเรือช่องแคบมะละกา(The Straits of Malacca)เมื่อราวทศวรรษค.ศ.1630 การกะทำดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อโปรตุเกตอย่างรุนแรง นอกจากนนี้ ดัทช์ยังได้เป็นบ่อนทำลายอาณานิคมตามชายฝั่งทะเลของโปรตุเกส โดยการยึดอาณานิคมของโปรตุเกสไปที่ละแห่ง โปรตุเกสเสียมะละกาเมื่อค.ศ.1641 และอีกสิบเจ็ดปีต่อมา(ค.ศ.1658:ผู้แปล)โปรตุเกสก็เสียเมืองจ๊าฟนา(Jaffna)ซึ่งเป็นป้อมปราการแห่งสุดท้ายในศรีลังกา การพิชิตดินแดนต่างๆในเอเชียสิ้นสุดลงเมื่อดัทช์สามารถยึดครอง-โคชิน(Cochin) และอาณานิคมบนแผ่นดินชายฝั่งมะละบาร์ของโปรตุเกสเมื่อค.ศ.1663จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ทำให้ดัทช์ประสบความสำเร็จในการควบคุมแหล่งกานพลู( )จันทร์เทศ( )และแหล่งเครื่องเทศในหมู่เกาะโมลุกกะ รวมทั้งได้ควบคุมแหล่งพริกไทบนดินแดนชายฝั่งมะละบาร์ นอกจากนี้ดัทช์ยังได้ผลักดันโปรตุเกสออกไปจากการคุ้มครองผลประโยชน์การขนส่งสินค้าในแถบเอเชียอีกด้วย เมื่อโปรตุเกสถูกขับไล่ออกจากญี่ปุ่นในค.ศ.1639ตามนโยบายทางการเมืองและนโยบายทางศาสนาของโชกุนโตกุงาวะ( )พ่อค้าชาวดัทช์ผูกขาดทางการค้าระหว่างยุโรปกับญี่ปุ่นแต่เพียงผู้เดียว ดัทช์ประสบความล้มเหลวเพียงครั้งเดียว เมื่อพยายามขับไล่โปรตุเกสออกจากมาเก๊า( ) เมืองแห่งพระนางของพระเจ้าในจีน และหมู่เกาะซุนดาน้อย ( ได้แก่) ซึ่งอยู่ไกลลิปและแทบจะไม่มีใครรู้จักเลย1.ชาวดัทช์ประสบความล้มเหลวในการแย่งชิงสถานีการค้าของโปรตุเกสบนหมู่เกาะโมแซมบิก(Mocambique) ซึ่งอยู่ในอาฟริกาตะวันออก จึงเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ชาวดัทช์ต้องก่อตั้งอาณานิคมของตนขึ้นที่แหลมกู๊ดโฮปในเวลาต่อมา ส่วนอาฟริกาตะวันตกนั้น อาณานิคมระยะแรกของดัทช์ซึ้งตั้งในดินแดนชายฝั่งกินี(The Guinea Coast) และแม้ว่าดัทช์จะพ่ายแพ้อย่างยับเยินจากการใช้ความพยายามในการแย่งชิงเมืองท่าเซา จอร์จดา มินา( )ของโปรตุเกสเมื่อค.ศ.1625 แต่ในอีก13ปีต่อมากองทหารซึ่งถูกจัดตั้งโดยเคานต์ โยฮัน มอริตส์ ออฟ นัสสอร์ ไซเจน ( ) ข้าหลวงใหญ่แห่งเนเธอร์แลนด์บราซิล(ผู้ดำรงตำ1638-1644) ได้ขับไล่โปรตุเกสและสามารถยึดครองเชา จอร์จ ดา มินา เป็นผลสำเร็จ ในขณะนั้น แม้ดัทช์จะทราบว่าโปรตุเกสได้กระทำกระด้างกระเดื่องต่อต้านการรวมประเทศกับสเปนตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ.1640 แล้ว ซึ่งอาจจะมีผลก่อให้เกิดวามไม่สลบในดินแดนอาณานิคมของโปรตุเกส( ) ดังเช่นปฏิกิริยาที่เกิดในประเทศแม่ แต่ชาวดัทช์ก็ได้ใช้กำลังเข้ายึดครองดินแดนชายฝั่งอังโกลาและเบงกูลา( )มาเป็นของตนในปีค.ศ.1641 ผู้รุกรานแห่งลัทธิคาลวินิสม์ชาวดัทช์( )ได้สร้างสรรค์ความสำพันธ์อันดียิ่งต่อกษัตริย์ผู้ทรงนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกแห่งคองโกและราชินีของมนุษย์กินคนเผ่ายักกัส( ) อย่างน่าประหลาดใจ ในเดือนสิงหาคม ค.ส.1648 กลุ่มพันธมิตรซึ้งปะปนกันหลากหลายเชื้อชาติและหลายเผ่าพันธุ์ เกือบจะทำลายเมืองท่าป้อมค่ายของโปรตุเกสที่เหลืออยู่สามแห่งในที่ราบกวนชา( ได้แก่) ได้สำเร็จ เมืองท่าป้อมค่ายดังกล่าวรอดพ้นการการถูกทำลาย เพราะทหารชาวรูโซ บราซิเลียน( ) แห่งริโอ เดอ จาเนโรยกกำลังไปยึดลวนดา( )กลับคืนมาได้ และสามารถกู้สถานการณ์ไว้ได้นาทีสุดท้ายของชั่วโมงที่สิบเอ็ด เมื่อสงครามยุติลงใน2-3ปีต่อมา ดัทช์ก็ไดครอบครองอาณานิคมดั้งเดิมตามชายฝั่งแถบโกลด์ โคสท์( )สเลฟ โคสท์( ) และไอวารี่ โคสท์( ) ของโปรตุเกส แต่โปรตุเกสยังควบคุมตลาดค้าทาสในอังโกลาและเบงกูลาระหว่างค.ส.1635-1644 ดัทช์ได้ยึดครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ครึ่งหนึ่งทางภาคเหนือของบราซิลเอาไว้ จนกระทั่งในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1645 ชาวเมืองเปอร์มันบูโก( )จึงลกฮือขึ้นต่อต้านชาวดัทช์ และหลังจากสงครามแห่งความข่มขื่นผ่านพ้นไปเป็นเวลาเกือบสิบปี ชาวดัทช์ที่มุ่งมั่นแห่งสุดท้ายก็ขอทำสัญญายอมปราชัยในเดือนมกราคม ค.ศ.1654 “น้ำตาล”ซึ้งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการทำสงคราม คือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดสงครามแม้ว่า “ความเกลียดชังต่อลัทธิทางศาสนา”ระหว่างชาวคาลวินิสต์( กับชาวโรมานิสต์( )จะเป็นสาเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการลุกฮือก็ตาม ทั้งดัทช์และชาวโปรตุเกสก็ใช้ทหารชาวอเมริเดียนเป็นกำลังสำคัญในการรบ เช่นเดียวกับสงครามระหว่างอังกฤษ-ฝรั่งเศสในแคนนาดาและอเมริกาเหนือ แท้จริงแล้วกองทัพโปรตุเกส หรือที่ถูกคือกองทัพชาวลูโซบราซิเลียนที่เข้าทำสงครามกับดัทช์ในครั้งนั้นประกอบด้วยชาวมูแลตโต( Mulattoes) ชาวนิโกร( Negroes )ชาวอเมริเดียน(Amelindean) และทหารเลือดผสมเชื้อชาติอื่นอีกหลายเชื้อชาติผู้นำคนสำคัญของทหารเหล่านี้คือ โจอาว เฟอร์นันเดช วีเยรา (Joao Founandes Viera)บุตรชายขุนนางชาวโปรตุเกตแห่งมาเดอิรา(The Madeira Fidelgo)ซึ่งเกิดจากครรภ์โสเภณีชาวมูแลตโต ความอัปยศอันใหญ่หลวงของดัทช์จากการสูญเสียภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิลถูกซ้ำเติมยื่งขึ้นเมื่อชาวดัทช์ทราบว่า ฝ่ายที่มีชัยชนะเหนือตนนั้น คือกองทัพที่มีกำลังทหารส่วนใหญ่เป็นชนผิวสี ดังนั้น การค้าน้ำตาลในบราซิลจึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโปรตุเกสไปในที่สุดโดยปราศจากการต่อต้าน หลังจากที่ดัทช์ได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างเต็มที่จากการค้าน้ำตาลในบราซิลมาเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม ความพยายามด้านอุตสาหกรรมน้ำตาลของดัทช์ก็มิไดสูญป่าว เพราะในระหว่างที่ยึดครองปอร์นัมบูโกอยู่นั้น ชาวดัทช์ได้ปรับวิธีการเพราะปลูกและการบดน้ำตาลของเปอร์นัมบูโก และนำเข้าไปเผยแพร่ในแอนทิลส์(The Antilles) โดยอาจจะผ่านมาทางตัวแทนบริษัทของชาวโปรตุเกตเชื้อสายยิว1.2. เกาะมาเดอิรา อาณานิคมแห่งหนึ่งของโปรตุเกตในหมาสมุทรแอตแลนติก อยู่ทางทิศตะวันตกของมอรอคโกความหายนะซึ่งโปรตุเกสได้รับจากการโจมตีของดัทช์ในช่วง 40 ปีแรกแห่งคริสต์ศตวรรษที่17 คือคำตอบที่สำคัญที่ทำให้ชาวโปรตุเกสลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองของกษัตริย์สเปนในพ.ศ.1640 แต่ชาวโปรตุเกสซึ่งคาดการว่า ชาวดัทช์คงจะหยุดการโจมตีอาณานิคมของตนในทันที เมื่อดินแดนต่างๆของโปรตุเกสประกาศไม่อยู่ภายใต้การปกครองของสเปน ต้องประสบกับความผิดหวังอย่างแรง เพราะหลักจากระยะ 10ปีของสัญญาการหักรบชั่วคราว”ลูโซ-ดัทช์”สิ้นสุดลงเมื่อ ค.ศ.1641 ดัทช์ได้ขยายการโจมตีอาณานิคมของโปรตุเกส ในแถบอังโกลาและศรีลังกามากยิ่งขึ้น ตามแต่โอกาสจะอำนวย ความรุนแรงของสงครามอาณานิคมครั้งนี้ ทำให้โปรตุเกสต้องแสวงหาการคุ้มครองจากอังกฤษ ในรูปของการอภิเษกสมรสระหว่างพระเจ้าชาร์ลส์ที่2(Charles II)กับราชะนีแคทารินแห่งบรากัญชา( )เมื่อค.ศ.1661สันติภาพระหว่างโปรตุเกสกับสเปน และโปรตุเกสกับดัทช์ ซึ่งมีขึ้นในภายหลังโดยการประนีประนอมของอังกฤษเป็นสันติภาพอันเปราะบางซึ่งโปรตุเกสจะพึงแสวงหาในขณะนั้นการมอบบอมเบย์( )และแทนกิเยร์( )แก่อังกฤษเพื่อเป็นสินสมรสเดิมของเจ้าหญิงแคทารินา สร้างความไม่พอใจแก่ชาวโปรตุเกสเป็นอย่างยิ่ง แม้โปรตุเกสจะไม่สามารถพัฒนาให้อาณานิคมดังกล่าวไปแล้วทั้งสองแห่ง มีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ก็ตามปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัทช์ประสบความสำเร็จในแถบเอเชียนั้น อาจสรุปได้สามประเด็นใหญ่ๆคือ ประการแรก ดัทช์มีปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เหนือกว่า ประการที่สอง ดัทช์มีกองทัพที่ยิ่งใหญ่กว่า ประการที่สาม ดัทช์มีอำนาจทางทะเลที่เหนือกว่า ในฐานที่ดัทช์( )เป็นชาติที่มีความเจริญทางการค้ามากที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่17 ความร่ำรวยและความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลของดัทช์ ทำให้ราชอาณาจักรแห่งโปรตุเกสประสบกับความยากจนมากยิ่งขึ้น พลเมืองของดัทช์และโปรตุเกสมีจำนวนใกล้เคียงกัน(หนึ่งล้านสองแสนห้าหมื่นคน) ขณะที่โปรตุเกสจำเป็นต้องหากระสุนดินดำ( )มาสนับสนุนในการทำสงคราม แต่ดัทช์สามารถใช้หรือสร้างกองทัพและกองเรือจากกำลังของทหารชาวเยอรมันและสแกนดิเนเวียนความแตกต่างของอำนาจทางทะเลมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จากงานเขียนอันมีชื่อเสียงในค.ศ.1649จากบาทหลวงชาวโปรตุเกสแห่งคณะเจซูอิตชื่อบาทหลวงอันโตนิโย วิเยรา( ) บาทหลวงผู้นี้แต่งเติมเรื่องราวมากกว่าข้อเท็จจริงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยประมาณกำลังพลของดัทช์และโปรตุเกสว่า ดัทช์มีเรือที่สามารถใช้ทำการรบได้มากกว่า14,000ลำ ขณะที่โปรตุเกสมีเรือน้อยกว่าดัทช์เพียง13ลำ เมื่อดัทช์ประกาศว่าสามารถจัดหาทหารเรือได้ถึง 250,000 คน โปรตุเกสก็สามารถระดมทหารเรือได้น้อยกว่าดัทช์เพียง 4,000 คนนั้นข้าพเจ้าขอเพิ่มรายละเอียดอีกเล็กน้อยว่า ข้าหลวงใหญ่ของดัทช์แห่งปัตตาเวีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แอนโตนอิโอ ฟอน เดเมน(Antois Van Diemen) ผู้เคยลอบเข้าโจมตีกองเรือของโปรตุเกสในมหาสมุทรอินเดียอย่างยับเยิน ระหว่างเป็นข้าหลวงที่เมืองปัตตาเวียในช่วงปี ค.ศ.1636-1645 ข้าหลวงผู้นี้สามารถใช้อำนาจทางทะเลได้ดีกว่าผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสหัวเมือง นอกจากนี้ โปรตุเกสซึ้งแทบจะมอบความไว้วางใจทั้งหมดแก่บรรดา "ขุนนาง" หรือสุภาพบุรุษจากสายเลือดและจากตระกูลขุนนาง( )อาทิ ตระกลูผู้นำทางทหารบกและทหารเรือของโปรตุเกส เป็นต้น ความสามารถของบุคคลเหล่านี้ มิอาจจะนำไปเปรียบเทียบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง ในบริษัทอินเดียตะวันออกของดัทช์ได้เลย เนื่องจากบริษัทอินเดียตะวันออกของดัทช์ คำนึงถึงความสามารถของเจ้าหน้าที่เป็นบรรทัดฐาน ในการเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงานชองบริษัท ความจริงดังกล่าวเป็นที่ยอมรับของสำนักงานสังเกตการณ์ชาวโปรตุเกส นักสังเกตการณ์ผู้หนึ่งได้เขียนบทความเมื่อค.ศ.1656 โดยตำหนิติเตียนขุนนางชั้นสูงอย่างแหลมคม ที่ทำให้มะละกาและศรีลังกาหลุดพ้นจากอำนาจของโปรตุเกสด้วยฝีมือของชนชั้นกรรมกรชาวฮอลันเดอร์ (Hallandery)2 ผลประโยชน์ต่างๆซึ่งชาวดัทช์ได้รับนั้น ข้าพเจ้าจาระไนไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อาจมีผู้ตั้งปัญหาถามว่า เหตุใดดัทช์ซึ่งใช้เวลาเพียง60ปีก็สามารถแย่งชิงอาณานิคมของโปรตุเกสในเอเชียได้สำเร็จ และเหตุใดดัทช์จึงประสบความล้มเหลวในการแย่งชิงเอาบราซิลไปครองอย่างสมบูรณ์แบบหลังจากที่มีแนวโน้มว่าสามารถจะทำได้ เราอาจตอบคำถามได้หลายประเด็น แต่ข้าพเจ้าอยากจะให้ลองพิจารณาดังต่อไปนี้คือ ความผิดพลาดของโปรตุเกสเกิดจากการถลำตัวเป็นเจ้าอาณานิคมอย่างลึกซึ้ง และยิ่งไปกว่านั้น ตามหลักการแล้วโปรตุเกสไม่อาจจะถอนตัวออกมาอย่างง่าย ๆ ได้ หลังจากการปราชัยทางเรือหรือทางทหารในแต่ละครั้งชาวดัทช์ต่างก็สำนึกในข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นอย่างดี ดังจะเห็นจากบันทึกของนักสังเกตการณ์ร่วมสมัยหลายคน เช่น แอนโตนิโอ ฟอน เดเมน ข้าหลวงใหญ่ดัทช์แห่งปัตตาเวียและนายสิบโทโยฮัน ซาร์ ( ) แห่งศรีลังกา เป็นต้นชาวโปรตุเกสในอินเดีย (เอเชีย) ส่วนใหญ่ต่างก็มีความรู้สึกว่า อินเดียเปรียบเสมือนปิตุภูมิของตน และมิได้รำลึกถึงโปรตุเกสซึ่งเป็นมาตุภูมิของตนอีกเลย ชาวโปรตุเกสบางคนประกอบการค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ในอินเดีย บางคนก็พอใจในการติดต่อค้าขายกับเมืองท่าต่าง ๆ ของเอเชีย ราวกับเป็นชาวเอเชียไปเสียแล้ว และไม่มีดินแดนอื่นที่จะต้องคำนึงถึงอีกต่อไปหลังจากการต่อสู้กับทหารโปรตุเกสในศรีลังกาผ่านพ้นไปได้ 20 ปี นายสิบ โทซาร์ได้บันทึกเกี่ยวกับพวกเขาว่าดินแดนแห่งใดก็ตามที่ชาวโปรตุเกสเดินทางไปถึง พวกเขาจะตั้งถิ่นฐานเพื่อใช้ชีวิตในบั้นปลายอยู่ในดินแดนแห่งนั้นต่อไป พวกเขาไม่เคยนึกถึงการเดินทางกลับไปยังโปรตุเกสอีกเลย แต่สำหรับชาวฮอลันเดอร์นั้น เมื่อได้เดินทางมาถึงเอเชียแล้ว พวกเขาจะรำลึกอยู่เสมอว่า “หากช่วงเวลา 6 ปีแห่งการทำงานในเอเชียของข้าพเจ้าสิ้นสุดลงเมื่อใด เมื่อนั้นข้าพเจ้าจะเดินทางกลับยุโรปอีกครั้ง”การบรรยายของซาร์มีหลักฐานยืนยันอย่างน่าเชื่อถือ กล่าวคือเมื่อดัทช์ยึดครองโคลอมโบ( )โคชิน( ) และอาณานิคมแห่งอื่นของโปรตุเกสได้แล้ว ชาวดัทช์ได้ทำการรื้อถอนบ้านเรือนกำแพง และป้อมค่ายจำนวนมากของชาวโปรตุเกส โดยเต็มใจจะอาศัยอยู่ในพื้นที่เพียงเศษหนึ่งส่วนสามของบริเวณที่ห้อมล้อมไปด้วยถิ่นฐานของผู้ที่อาศัยอยู่มาแต่เดิม จึงอาจจะกล่าวโดยอนุโลมได้ว่าปรากฏการณ์ที่อุบัติขึ้นในเอเชีย มีสภาพคล้ายกับการยึดครองดินแดนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล กับการยึดครองดินแดนตลอดแนวชายฝั่งทะเลของอังโกลาและเบงกูเอลลา ( ) มาไว้ใต้อำนาจของดัทช์ชั่วคราว เคานท์ โจฮัน มอริตส์ ( ) ข้าหลวงใหญ่ผู้สร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองให้แก่เนเธอร์แลนด์แห่งบราซิล และยังคงได้รับความนับถือจากชาวบราซิลอยู่ เป็นผู้หนึ่งที่ไม่เคยหยุดการย้ำเตือนให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงกว่าตนในกรุงเฮกและกรุงแอมสเตอร์ดัมส์ได้ทราบว่า หากไม่ส่งชาวดัทช์ ชาวสแกนดิเนเวียและชาวเยอรมันจำนวนมาก ๆ เข้าไปขับไล่ หรือปะปนกับบรรดาผู้ตั้งถิ่นฐานชาวโปรตุเกสแล้ว ในภายหลังพลเมืองของเนเธอร์แลนด์แห่งบราซิลจะยังคงมีความรู้สึกนึกคิดเป็นโปรตุเกสอยู่ต่อไป และอาจจะกระด้างกระเดื่องต่อการปกครองของดัทช์ได้ทุกขณะ เมื่อโอกาสมาถึงสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้อิทธิพลของโปรตุเกสยั่งยืนยาวนานกว่า ในดินแดนแถบชายฝั่งทะเลของอาฟริกาและเอเชีย คือการรับเอาภาษาโปรตุเกสไปใช้อย่างลึกซึ้งและกว้างขวางจนกลายเป็นภาษาลูกผสม ( ) ที่ใช้ในวงการค้าแถบดังกล่าว ก่อนที่ชาวดัทช์จะเดินทางเข้ามา สำหรับในช่วง 24 ปี แห่งการยึดครองภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิลนั้น ชาวโปรตุเกสต่างก็ดึงดันและปฏิเสธที่จะเรียนรู้ภาษาดัทช์ และเชื่อกันว่ามีภาษาดัทช์เพียงสองคำเท่านั้นที่ตกค้างอยู่ในภาษาที่นิยมพูดกันมากในเปอร์นัมบูโก แม้ว่านิโกรในอังโกลาและคองโกจะถือหางฝ่ายดัทช์มาโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนถึงช่วง 7 ปีสุดท้ายแห่งการปกครองของดัทช์ และแม้ว่าดัทช์จะปฏิบัติต่อชาวพื้นเมืองในอังโกลาและคองโกดีกว่าเมื่อครั้งโปรตุเกสปกครองดินแดนดังกล่าว แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า จนกระทั่งบัดนี้ชาวนิโกรก็ยังไม่มีความตั้งใจจะเรียนรู้ภาษาดัทช์ซึ่งเป็นภาษาของผู้เป็นพันธมิตรกับตน และยังคงพูดภาษาโปรตุเกสอีกต่อไป ในค.ศ. 1642 ผู้อำนวยการดัทช์แห่งลวนดา ( ) ผู้หนึ่งได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า หากชาวเนเธอร์แลนเดอร์ ( ) ต้องการสร้างความมั่นคงในการปกครองคองโกและอังโกลาแล้ว พวกเขาควรจะชักชวนให้ชาวบันตูเรียนรู้ภาษาดัทช์ เหมือนอย่างที่ชาวโปรตุเกสได้ริเริ่มให้ชาวพื้นเมืองเรียนรู้ภาษาของตนในคริสต์วรรษที่ 16 ข้อเสนอแนะของเขาไม่ได้รับความสนใจจากเจ้าหน้าที่ระดับสูง ซึ่งสนใจในการขยายการค้ามากกว่าการเผยแพร่ภาษาหรือวัฒนธรรมของดัทช์ให้แก่ชาวพื้นเมือง และในที่สุดการนำนโยบายดังกล่าวไปใช้ในอังโกลาและคองโกก็สายเกินไปสำหรับชาวฮอลันเดอร์ส อย่างไรก็ตามสำหรับในบราซิลชาวฮอลันเดอร์สประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยสามารถนำนโยบายการการครอบงำทางภาษาและวัฒนธรรม ไปใช้กับมนุษย์กินคนเผ่าทาปูยา ( ) พันธมิตรของตนอย่างได้ผลดังที่บาทหลวงอันโตนิโย วิเยอิรา ( ) ได้ไปพบเห็นมาขณะที่เดินทางไปเยือนชาวอเมรินเดียนแห่งเซียรา เดอ อิเบียปาบา ( ) เมื่อ ค.ศ. 1656 แต่ความสำเร็จดังกล่าวไม่สมดุลกับความล้มเหลวของดัทช์ ซึ่งพยายามจะบังคับให้ชาวลูโซ-บราซิลเลียนแห่งโมราโดเรส ( ) ใช้ภาษาดัทช์ในทวีปเอเชีย ภาษาโปรตุเกสหรือภาษาเครโอล ( )ซึ่งกลายมาจากภาษาโปรตุเกสนั้น สามารถต้านทานต่อแรงกดดันจากเจ้าหน้าที่ของดัทช์และการออกกฎหมายของดัทช์ได้สำเร็จอย่างน่าประหลาดใจ ราชาสิงหะที่ 2 ( )ผู้ทรงร่วมมือกับชาวฮอลันเดอร์สในการต่อต้านชาวโปรตุเกส แต่ทรงปฏิเสธที่จะยอมรับหลักเกณฑ์ทางภาษาดัทช์ หรือเขียนหนังสือราชการโดยใช้ภาษาดัทช์ และยืนกรานจะใช้ภาษาโปรตุเกสซึ่งเป็นภาษาที่พระองค์ทรงตรัสและนิพนธ์ได้อย่างคล่องแคล่วอีกต่อไป ในทำนองเดียวกัน ขณะนั้นบรรดาผู้สำเร็จราชการชาวมุสลิมแห่งมากัสซาร์ ( ) ในหมู่เกาะอินโดนีเซียต่างก็พูดภาษาโปรตุเกสอย่างคล่องแคล่ว หนึ่งในจำนวนนั้นเคยอ่านต้นฉบับหนังสือทุกเล่มของเฟรย์ หลุยส์ เดอ เกรนาดา โอ.พี. ( ) นักเทศน์ชาวสเปนสำหรับในมะละกา ศรีลังกา มะละบาร์และดินแดนอื่น ๆ นั้น ยังปรากฏร่องรอยของภาษาโปรตุเกสซึ่งมีโครงสร้างทางภาษาง่าย ๆ ไม่สละสลวย คล้ายกับที่ใช้พูดกันในแถบชนบทของโปรตุเกส หลงเหลืออยู่ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 และบางแห่งตกค้างมาจนถึงปัจจุบัน
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1645 เกอร์ริต เดมเมอร์ ( ) ข้าหลวงแห่งโมลุกกะได้ตั้งข้อสังเกตว่า ภาษาอังกฤษและภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาที่ค่อนข้างง่ายต่อการเรียนรู้ของชาวแอมโบเนส ( ) และเป็นภาษาที่น่าสนใจมากกว่าภาษาดัทช์ตัวอย่างที่สำคัญที่สุดคือชัยชนะทางภาษาของกามูส์1. ( หมายถึงภาษาโปรตุเกส : ผู้แปล) ซึ่งมีเหนือภาษาของโฟนเดล2. (หมายถึงภาษาดัทช์ : ผู้แปล) ในเมืองปัตตาเวีย “ราชินีแห่งน่านน้ำบูรพา ” ของดัทช์ นอกจากเชลยศึกและนกเดินทางจากกองเรือในบางโอกาสแล้ว โปรตุเกสไม่เคยตั้งถิ่นฐานอยู่ในปัตตาเวียเลย แต่ปรากฏว่าภาษาเครโอลของโปรตุเกสกลับเป็นภาษาพูดของเหล่าทาสและคนรับใช้ในบ้าน ที่ถูกส่งไปจากดินแดนแถบอ่าว เบงกอล เป็นภาษาพูดของชาวดัทช์และหญิงเลือดผสมที่เกิดและเจริญเติบโตในปัตตาเวียและบางครั้งภาษาเครโอลก็เป็นภาษาพูดของชาวโปรตุเกสเองด้วย ใน ค.ศ. 1659 แมตซุกเกอร์ ( ) ข้าหลวงใหญ่และสภาที่ปรึกษา ได้พยายามชี้แจงให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงในเนเธอร์แลนด์ได้ทราบถึง ความสูญเปล่าของมาตรการรุนแรงต่อการใช้ภาษาโปรตุเกส โดยแมตซุกเกอร์และคณะได้เสนอว่า :ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาที่ง่ายต่อการพูดและการเรียนรู้ จึงเป็นสาเหตุที่เราไม่สามารถจะป้องกันมิให้ทาสที่นำมาจากอาระกัน ( ) ซึ่งไม่เคยได้ยินภาษาโปรตุเกสมาก่อนแม้แต่คำเดียว (และแม้แต่ลูกหลานของเรา) พูดภาษาโปรตุเกส และนำเอาภาษาโปรตุเกสไปใช้เป็นภาษาของตน แทนที่จะใช้ภาษาอื่น ๆ 3 ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นประการใดที่จำนวนของผู้ซึ่งใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาพูดได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆในสังคมอาณานิคมโปรตุเกส บทบาทของสตรีเป็นสิ่งที่ได้รับการคำนึงถึงมากกว่าที่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ และหากจะกล่าวไปแล้ว ประวัติศาสตร์แทบจะไม่สนใจบทบาทของสตรีเลยก็ว่าได้ ยกเว้นกรณีของพระราชินีและเจ้าหญิงบางคน อย่างไรก็ตามสำหรับในสถานการณ์ที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้นั้น มีสตรีจำนวนไม่มากนักที่ร่วมเดินทางไปเอเชียกับสามีหรือผู้นำครอบครัว แต่ละปีหนึ่ง ๆ ที่แล่นไปสู่อินเดีย จะมีผู้ชายชาวโปรตุเกสเดินทางไปยังเมืองกัว ประมาณ 3,000 – 4,000 คน ในจำนวนนี้มีผู้หญิงโปรตุเกสไม่เกิน 20 – 30 คน และบ่อยครั้งทีเดียวที่ไม่มีผู้หญิงโปรตุเกสร่วมทางไปด้วย ผู้หญิงโปรตุเกสซึ่งเดินทางไปยังอาณานิคมของโปรตุเกสในอาฟริกา ไม่ว่าดินแดนชายฝั่งอาฟริกาตะวันตกหรืออาฟริกาตะวันออก มีจำนวนน้อยกว่าผู้หญิงที่เดินทางไปยังเอเชีย เนื่องจากเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า อาฟริกาเป็นดินแดนซึ่งชาวยุโรปอยู่ได้ไม่นานเท่าใดก็มักจะต้องล้มตายลงเป็นจำนวนมาก กษัตริย์โปรตุเกสทรงต่างจากกษัตริย์สเปนอย่างเด่นชัด พระองค์สนับสนุนให้ผู้หญิงโปรตุเกสออกเดินทางไปยังอาณานิคมของโปรตุเกสในเอเชียและอาฟริกา โดยมีข้อยกเว้นคือ ผู้หญิงเหล่านี้ จะต้องไปในฐานะของ “หญิงกำพร้าแห่งกษัตริย์โปรตุเกส ” ผู้หญิงเหล่านี้เป็นผู้ซึ่งอยู่ในวัยที่สมควรจะครองเรือนได้แล้ว พวกเธอจะถูกส่งไปกรุงลิสบอนเป็นกลุ่ม ๆ มีพระราชทรัพย์ของกษัตริย์โปรตุเกสเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง หญิงสาวทุกคนจะนำสินสมรสเดิมหลายอย่างติดตัวไปด้วยตามนโยบายของรัฐบาลโปรตุเกส เพื่อมอบให้แก่ชายหนุ่มที่มีความประสงค์จะแต่งงานกับหญิงสาวคนใดคนหนึ่ง หญิงสาวลูกกำพร้าแห่งกษัตริย์โปรตุเกสมีจำนวนไม่มากนัก มีเรื่องเล่ากันว่า หากพวกเธอไม่ตายตั้งแต่ยังเป็นเด็กก็เสียชีวิตไปตั้งแต่แรกเกิด หญิงสาวบางคนมีคุณสมบัติกุลสตรีเพียบพร้อมแต่ก็มีอายุมากเกินไป หรือ หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่เกินกว่าจะหาสามีได้ ข้าพเจ้าขอเพิ่มเติมรายละเอียดว่า หากหญิงกำพร้าแห่งกษัตริย์โปรตุเกสเดินทางไปถึงเมืองกัวโดยสวัสดิภาพแล้ว พวกเธอไม่จำเป็นจะต้องแต่งงานกับชาวโปรตุเกสก็ได้ หญิงสาวบางคนถูกยกให้แต่งงานกับผู้ลี้ภัย หรือ เจ้าชายชาวเอเชียนผู้ร่ำรวย เช่น กษัตริย์พลัดถิ่นแห่งมัลดีฟส์ ( ) , เจ้าชายผู้ทรงพระเยาว์แห่งมอมบาชา ( ) , เจ้าชายอาหรับผู้ลี้ภัยจากเพ็มบา( ) และบุคคลอื่น ๆ อีกจำนวนมาก กษัตริย์โปรตุเกสทรงมีนโยบายอย่างชัดเจนว่า ต้องการให้บรรดาสามีหญิงกำพร้าเหล่านี้มีความจงรักภักดีต่อพระองค์ด้วย แต่ “หญิงกำพร้าแห่งกษัตริย์โปรตุเกส ” มีจำนวนน้อยเกินกว่าจะทำให้ประชากรในอาณานิคมของโปรตุเกสแถบอาฟริกาและเอเชียเพิ่มขึ้นมากอย่างเด่นชัดได้ ในขณะที่ผู้ชายชาวโปรตุเกสส่วนใหญ่ มักจะแต่งงานกับหญิงสาวชาวเอเชียหรือยูเรเชียนตั้งแต่หนึ่งครั้งหรือมากกว่าหนึ่งครั้งขึ้นไปอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ กษัตริย์โปรตุเกสทรงมีนโยบายสนับสนุนให้ชาวโปรตุเกสแต่งงานกับชาวพื้นเมือง นโยบายดังกล่าวนี้ อัฟฟองโซ เดอ อัลบูเคอร์ก ( ) ได้นำไปใช้ที่เมืองกัวเมื่อ ค.ศ. 1510 หลังจากที่เขายึดครองเมืองกัวได้ อย่างไรก็ตาม นโยบายสนับสนุนให้ชาวโปรตุเกสแต่งงานกับชนพื้นเมืองนั้น ใช่ว่าจะได้รับการส่งเสริมอย่างสม่ำเสมอเท่าใดนัก อัลบูเคอร์กชี้ว่า ผู้ชายที่แต่งงานมีเหย้าเรือนไปแล้ว จะสร้างสรรค์อาณานิคมได้ดีกว่าหนุ่มโสดเจ้าสำราญ ซึ่งพอใจแต่การใช้ชีวิตอยู่กับบรรดาชู้รักของตนเท่านั้น อัลบูเคอร์รายงานว่า เมื่อเห็นชาวโปรตุเกสและบาทหลวงคณะเจซูอิตในอาณานิคมโปรตุเกสที่บราซิลต่างก็มีสำนึกเช่นเดียวกับชาวโปรตุเกสในอินเดีย บุคคลผู้หนึ่งซึ่งมีชีวิตอยู่ในขณะนั้นได้บันทึกไว้ว่า ผู้ชายชาวโปรตุเกสที่แต่งงานแล้วเพียงคนเดียวมีค่าเท่ากับหนุ่มโสดถึงยี่สิบคนเพราะหนุ่มโสดมักจะคิดถึงแต่การเดินทางผจญภัยต่อไปเรื่อย ๆ หรือมักจะคิดถึงแต่การกลับไปสู่มาตุภูมิอีกครั้งเท่านั้น ในขณะที่ผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วจะต้องขวนขวายมองหาลู่ทางในการทำเกษตรกรรมหรือการสร้างเคหะสถาน อย่างไรก็ตาม การชักชวนให้หนุ่มโสดชาวโปรตุเกสในเอเชีย อาฟริกาและบราซิล รีบแต่งงานมีครอบครัวเร็ว ๆ ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายดายเลยชายหนุ่มโปรตุเกสส่วนใหญ่มักพอใจจะอยู่กินกับหญิงสาวผิวสีจำนวนมากเท่าที่พวกเขาจะมีปัญญาหาได้ โดยไม่ต้องแต่งงานกับพวกเธอคนใดคนหนึ่ง และหนุ่มโสดประเภทนี้มีอยู่เป็นจำนวนมากในอาณานิคมของโปรตุเกส สิ่งที่เป็นแรงผลักดันให้ชาวโปรตุเกสเกิดความกระตือรือร้นหรือความอยากได้ใคร่มีในระดับที่แตกต่างกันออกไป คือ การใช้แรงงานทาสอย่างแพร่หลาย นอกจากนี้การทวีจำนวนของโสเภณีทาสถูกประณามจากบาทหลวงที่มีตำแหน่งสูงโดยปราศจากการตอบสนองอย่างสิ้นเชิงจากสังคม สาเหตุสำคัญที่ทำให้โสเภณีทาสมีจำนวนเพิ่มขึ้น คือ การตายของผู้ชายชาวผิวขาวมีอัตราสูงกว่าการตายของหญิงผิวสี ดังนั้นผู้ตั้งถิ่นฐานชาวโปรตุเกสจึงต้องมีภาระในการรับผิดชอบต่อหญิงหม้ายและเด็กกำพร้าจำนวนมากซึ่งจมอยู่กับความตกต่ำหม่นหมองใจ1.ด้วยเหตุนี้ กฎเกณฑ์ทุกอย่างจึงมีข้อยกเว้นระหว่างหญิงผิวขาวและหญิงเลือดผสมซึ่งกลายเป็นเจ้าของที่ดินหรือ เจ้าของทาสที่ร่ำรวย หรือเป็นทั้งเจ้าของที่ดินและเจ้าของทาสไปพร้อม ๆ กัน หญิงเหล่านี้จะถูกยกขึ้นเป็น “ ......” หรือหญิงผู้ได้รับมรดกแห่งลุ่มแม่น้ำแซมเบเซีย หรือ “ .......” (เลดี้แห่งอีโบ ) แห่งหมู่เกาะเควอริมบา ( ) มรกดที่ได้รับประกอบด้วยการค้าทองคำ งาช้างและทาสในอาฟริกาตะวันออก อย่างไรก็ตาม โดยหลักการแล้วเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า “ หญิงผู้สืบทอดมรดก” ส่วนใหญ่เป็นชาวมูแลตา ( ...... ) และบุตรของพวกเธอมักจะมีผิวสีเหมือนผู้เป็นมารดา ระบบการสืบทอดมรดกดังกล่าวถูกกำหนดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 18 แต่จากหลักฐานบัญชีของบาทหลวงคณะเจซูอิตชาวโปรตุเกสแห่งแซมเบเซียเมื่อ ค.ศ. 1667 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ขณะนั้นระบบการสืบทอดมรดกถูกริเริ่มขึ้นมาแล้ว2.การแต่งงานกับชาวต่างชาติ ทำให้บุตรของชาวโปรตุเกสที่เกิดจากการอยู่กินโดยมิได้สมรส อาจเป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ถูกต้องก็ได้ แต่ผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากชาวโปรตุเกส ล้วนมีความจงรักภักดีต่อกษัตริย์โปรตุเกสและศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกและแม้ว่าโปรตุเกสจะถูกขับออกไปแล้ว แต่เชื้อสายของชาวโปรตุเกสที่ยังคงอาศัยอยู่ในดินแดนต่าง ๆ ก็ยังมีความจงรักภักดีต่อกษัตริย์โปรตุเกสและศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกอย่างมั่นคงสืบมาเป็นเวลานาน บุคคลเหล่านี้รวมไปถึงหญิงเลือดผสมหรือหญิงพื้นเมืองชาวเอเชีย ชาวอาฟริกันและชายอเมรินเดียน ซึ่งโปรตุเกสได้เข้าไปปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่และเปลี่ยนแปลงแบบแผนประเพณีต่าง ๆ ของพวกเขา อาทิ การดูแลบ้านเรือน การทำอาหารการแต่งกายและโภชนาการ
ภายใต้การปกครองของดัทช์นั้น หญิงยูเรเซียน หญิงเลือดผสมหรือแม้แต่นางทาสในมะละกา ปัตตาเวียและศรีลังกา ต่างก็ใช้ภาษาโปรตุเกสในชีวิตประจำวันหญิงชาวโปรตุเกสได้ชื่อว่ามีนิสัยรักความสันโดษที่สุดในยุโรป นักเขียนชาวโปรตุเกสแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 17 บันทึกด้วยความชื่นชมว่า หญิงพรหมจรรย์ชาวโปรตุเกสจะออกจากบ้านเพียงสามกรณีเท่านั้น คือ ออกจากบ้านเพื่อเข้าพิธีตั้งชื่อ ( ) ของตน เพื่อการแต่งงาน ( ) และในงานศพของตน ( ) เมื่อตายแล้ว ค่านิยมดังกล่าวของผู้หญิงชาวโปรตุเกสคล้ายกับคติของผู้หญิงญี่ปุ่น คือ ผู้หญิงมีนายเหนือหัวสามคนที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต กล่าวคือ ขณะเป็นเด็กผู้หญิงมีบิดาเป็นนาย เมื่อแต่งงานมีสามีเป็นนาย และเมื่อตกพุ่มหม้ายผู้หญิงก็ได้บุตรชายมาเป็นนาย นิสัยรักสันโดดของผู้หญิงชาวโปรตุเกสจะได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้ปกครองชาวมัวร์หรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่มีส่วนทำให้หญิงสาวชาวโปรตุเกสและผู้หญิงส่วนใหญ่ในตะวันออก เคยชินต่อการใช้ชีวิตอย่างสันโดษ คือ ฮาเร็ม ( สถานที่ซึ่งอนุภรรยาหรือ นางบำเรอของขุนนางชาวมัวร์อาศัยอยู่ : ผู้แปล) กับ เซนานา ( บริเวณส่วนหนึ่งของบ้านซึ่งสตรีวรรณะสูงของชาวอินเดียอาศัยอยู่โดยไม่ปะปนกับผู้อื่น) ชาวดัทช์แสดงความรู้สึกต่อค่านิยมดังกล่าวด้วยความขบขัน และแสดงความรังเกียจค่านิยมข้างต้นระหว่างการยึดครองภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล แต่ในทางตรงกันข้าม ความมีอิสระซึ่งชาวดัทช์มอบให้แก่บุตรสาวและภรรยาของตนในขณะนั้น กลับเป็นสิ่งที่ผู้ชายชาวลูโซบราซิลเลียนตำหนิติเตียน
บาทหลวงมานูเอล กาลาโด ( ) ซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ในเปอร์นัมบูโก ได้บันทึกไว้ในหนังสือชื่อ “......... ” ว่าระหว่างปี ค.ศ. 1630 – 1647 ไม่มีชายหนุ่มโปรตุเกสคนใดแต่งงานกับหญิงสาวชาวดัทช์ หรือ แม้แต่เป็นชู้รักกับหญิงสาวชาวดัทช์เลย ขณะที่หนุ่มดัทช์จำนวนมากกลับแต่งงานกับหญิงสาวชาวลูโซบราซิลเลียน และภายหลังชาวดัทช์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะยอมรับนับถือประเทศและศาสนาของทางฝ่ายภรรยาไปด้วย ในทำนองเดียวกัน การแต่งงานแบบผสมผสานที่มีขึ้นในตะวันออก ทำให้รัฐบาลดัทช์จับตาดูด้วยความไม่ไว้วางใจ เนื่องจากบรรดาลูก ๆ และสามีชาวดัทช์ของหญิงสาวชาวลูโซ – บราซิลเลียนเหล่านั้น จะต้องพลอยนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกไปด้วย โจฮัน แมตซุกเกอร์ ( ) ข้าหลวงใหญ่แห่งปัตตาเวีย ระหว่าง ค.ศ. 1653 – 1678) ผู้ซึ่งสังเกตเห็นอันตรายในรูปแบบดังกล่าว และเป็นผู้ที่ให้ความสนใจต่อปัญหาแนวโน้มของผู้ชายดัทช์ในการแต่งงานกับหญิงโปรตุเกส แมตซูกเกอร์เป็นผู้ที่ชื่นชมในความรักสันโดษของผู้หญิงโปรตุเกส เขาได้เสนอให้ชาวดัทช์ยึดถือความสันโดษเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิต เขาแนะนำว่า ผู้หญิงชาวยูเรเซียนทั้งหมดที่แต่งงานกับชาวดัทช์ควรจะเก็บตัวอยู่แต่ภายในบ้านของตน โดยที่เขาเองก็มิได้อธิบายว่า เหตุใดจึงต้องปฏิบัติเช่นนั้น1.สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้อิทธิพลของโปรตุเกสมีความสืบเนื่องในเวลาต่อมา แม้แต่ในดินแดนต่าง ๆ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของดัทช์นานหลายศตวรรษ สิ่งนั้นคือองค์ประกอบทางศาสนา แม้บางครั้งการเผยแพร่ศาสนาของโปรตุเกสจะใช้วิธีการขู่เข็ญบังคับ มากกว่าการโฆษณาชวนเชื่ออย่างสันติ และแม้ว่าโปรตุเกสจะไม่ประสบความสำเร็จในการเผยแพร่ศาสนา เนื่องจากอิทธิพลของศาสนาอิสลาม และโปรตุเกสสร้างความประทับใจได้เพียงเล็กน้อยในการติดต่อกับอินเดียและจีน แต่เมื่อโปรตุเกสได้ปลูกฝังศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกลงไปแล้วความเชื่อทางศาสนาดังกล่าวมักจะหยั่งรากลงไปได้อย่างล้ำลึกเสมอ อิทธิพลของโปรตุเกสในอาณานิคมของดัทช์แถบเอเชียซึ่งเคยเป็นของโปรตุเกสมาก่อน ทำให้ดัทช์ต้องใช้ความพยายามในการกำจัดให้หมดไปจากอาณานิคมของดัทช์ในเอเชีย แต่ความพยายามดังกล่าวก็ไม่ใคร่จะได้ผลนักยกเว้นที่แอมบัวนา ( ) เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ความพยายามในการกำจัดอิทธิพลของโปรตุเกสในเอเชียถูกผลักดันออกมาดำเนินการเป็นครั้งคราวคิดเป็นเวลาร่วม 150 ปี แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น พวกคาลวินิสต์กลุ่มพริดิแคนต์ ( ) แต่ในช่วงนั้น หากคาลวินิสต์กลุ่มพริดิแคนต์ ( ) ไม่เคยได้รับความสำเร็จในการเผยแพร่ศาสนาในระดับที่เท่าเทียมกับการเผยแพร่ศาสนาของบาทหลวงนิกายโรมันคาธอลิกเลย เมื่อใดก็ตามที่ชุมชนของชาวยูเรเซียนในปัตตาเวีย มะละกาโคโรมันเดล ( ) ศรีลังกาและมะละบาร์มีโอกาส พวกเขาก็มักจะเสี่ยงอันตรายด้วยการออกไปให้พ้นจากสายตาของนักเทศน์แห่งนิกายโปรเตสแตนท์ ( ) เพื่อประกอบพิธีมิสซา ( ) หรือนำเด็กเขาพิธีรับศีลล้างบาป ( ) หรือประกอบพิธีรับศีลสมรส ( ) โดยมีบาทหลวงแห่งนิกายโรมันคาธอลิกที่ปลอมตัว จาริกเข้าไปเป็นผู้ประกอบพิธีให้1. พวกคาลวินิสต์ซึ่งแปลงศาสนามาจากนิกายโรมันคาธอลิกโดยการกระทำของดัทช์ แทบจะไม่ทิ้งร่องรอยทางวัฒนธรรมให้หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันเลย ในขณะที่ชุมชนคาธอลิกซึ่งก่อตัวขึ้นจากการปลูกฝังของโปรตุเกส ยังคงปรากฏร่องรอยให้เห็นอย่างชัดเจนในดินแดนหลายแห่งข้าพเจ้าได้กล่าวไปในตอนต้นแล้วว่า จักรวรรดิอาณานิคมโปรตุเกส ( ) เป็นองค์การทางเศรษฐกิจและองค์การที่ตั้งอยู่บนดินแดนริมทะเล ( ) ซึ่งก่อตัวขึ้นจาก พื้นฐานทางการทหารและทางด้านศาสนา โดยมีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวพันกันเป็นลูกโซ่อย่างไม่จบสิ้นและบ่อยครั้งทีเดียวที่องค์ประกอบเหล่านี้มีความขัดแย้งกัน เช่น ไม้กางเขนกับดาบ พระเจ้ากับทรัพย์ศฤงคาร และการเผยแพร่ศาสนากับเครื่องเทศ (ที่บราซิลคือการเผยแพร่ศาสนากับน้ำตาล) ดิโอโก โด กูโต ( ) นายทหารนักบันทึกจดหมายเหตุชาวโปรตุเกสผู้เคยใช้ชีวิตในอินเดีย ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์ข้างต้นเมื่อ ค.ศ. 1612 ว่า :เหนือดินแดนอาณานิคมของโปรตุเกสในย่านตะวันออก กษัตริย์โปรตุเกสมักใช้ความพยายาม ในการรวมอำนาจทางศาสนจักรและอำนาจทางอาณาจักรเข้าด้วยกันเสมอและในทางปฏิบัตินั้น อำนาจทั้งสองขั้วไม่เคยถูกแยกออกจากกันเลยนโยบายในการรวมอำนาจทางศาสนาจักรและอาณาจักร ( ) แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดในทางปฏิบัติ เช่น กษัตริย์โปรตุเกสทรงให้ความอุปถัมภ์แก่ศาสนจักร ( หรือ ) อย่างยาวนานและรุนแรง ในการต่อสู้กับพวกมุสลิม พวกนอกศาสนา ( ) และพวก อนารยชน ( ) อื่น ๆ รวมทั้งทรงสนับสนุนการต่อสู้กับมิสชันนารีของนิกายโรมันคาธอลิกชาติอื่นที่เป็นศัตรูกับโปรตุเกสด้วยความอุปภัมภ์ทางศาสนา ในการก่อตั้งมิสซังคาธอลิกและศาลทางศาสนา ( ) ของโปรตุเกสในดินแดนส่วนใหญ่ของอาฟริกา เอเชียและบราซิลนั้น ถูกกำหนดให้รวมอยู่ภายใต้สิทธิและอำนาจของกษัตริย์โปรตุเกสที่ทรงปฏิบัติสืบทอดกันมา ในความเป็นจริงแล้วการให้ความอุปถัมภ์ทางศาสนาในดินแดนที่ไม่ใช่ยุโรปโดยกษัตริย์โปรตุเกส จะมีขึ้นเมื่อได้รับสิทธิพิเศษจากพระสันตปาปาแล้วเท่านั้น เช่นเดียวกับการให้ความอุปถัมภ์ทางศาสนาของกษัตริย์แห่งสเปน ( ) ในดินแดนแถบสแปนิชอเมริกา ( ) และฟิลิปปินส์นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ( ) นั้น ปัญหาทางการเมือง การต่อตัวของนิกายโปรตุเสตแตนท์และปัญหาอิตาลีถูกเตอรกีรุกราน ทำให้พระสันตปาปาไมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ศาสนา ในดินแดนที่โปรตุเกสกับสเปนเป็นผู้ค้นพบ พระสันตปาปาจึงมิได้ทรงตระหนักถึงภยันตรายอันเกิดขึ้นจากการอนุญาตให้กษัตริย์โปรตุเกสและกษัตริย์สเปน ( ) ดำเนินการอุดหนุนทุนทรัพย์ในการตั้งโรงสวด ( ) ทะนุบำรุงการปกครองคณะสงฆ์ และส่งบาทหลวงไปเผยแพร่ศาสนาแก่อนารยชนได้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่พระสันตปาปาจะทรงได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้น ในการแต่งตั้งบิชอป ไปแทนตำแหน่งที่ว่างในแขวงการปกครอง ( ) ของบิชอปทุกแห่ง รวมทั้งการที่พระสันตปาปาจะทรงได้รับสิทธิพิเศษในการเก็บอากรแบบหนึ่งซักสิบ ( ) และสามารถดำเนินการจัดเก็บภาษีศาสนา ( ) ได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย สำหรับในกรณีของโปรตุเกสนั้น กษัตริย์โปรตุเกสทรงได้รับสิทธิพิเศษทางศาสนาดังกล่าวข้างต้นในฐานะผู้บริหาร ผู้ปกครองและประมุขแห่งคริสจักร ( ) ของโปรตุเกส มิใช่ทรงได้รับในฐานะของกษัตริย์โปรตุเกส ลักษณะที่กษัตริย์โปรตุเกสทรงเป็นประมุขแห่งศาสนจักรโปรตุเกสเช่นนี้ เป็นคณะสงฆ์แบบลัทธิทหาร ( ) ซึ่งกษัตริย์ดอม ดินิส ( ) ทรงก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1319 แทนคณะสงฆ์แห่งเทมปลารส์ ( ) ที่ถูกกำจัดไปก่อนหน้านั้นไม่นานนัก ต่อมาใน ค.ศ. 1551 เมื่อกษัตริย์โปรตุเกสทรงรวมคณะสงฆ์แบบลัทธิทหารไว้ภายใต้อำนาจแล้ว กษัตริย์โปรตุเกสทรงมอบอำนาจบังคับบัญชาสูงสุดของมิสซังคาธอลิกในอาณานิคมทุกแห่ง ให้แก่พระสันตปาปาแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 161.เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ ในคริสต์วรรษที่ 17 เปลี่ยนแปลงไป พระสันตปาปาทรงพบว่า สิทธิพิเศษอันไร้ขอบเขตซึ่งกษัตริย์โปรตุเกสและกษัตริย์สเปนทรงได้รับจากพระสันตปาปาเมื่อสองร้อยปีที่แล้วนั้น ได้บานปลายออกไปเป็นสิทธิในการอุปภัมภ์ศาสนาของกษัตริย์ ที่ก่อให้เกิดความยุ่งยากและก่อให้เกิดการบ่อนทำลายอำนาจของพระสันตปาปาเป็นอย่างยิ่ง พระสันตปาปาแทบจะไม่มีอำนาจเหมือนอาณานิคมของสเปนในอเมริกาเลย และสิทธิของกษัตริย์สเปนในการอุปถัมภ์ศาสนายังคงอยู่อย่างสมบูรณ์ จนกระทั่งอาณานิคมของสเปนในอเมริกาประกาศเอกราชในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่สำหรับโปรตุเกสนั้น เมื่อถูกดัทช์และอังกฤษทำลายอำนาจที่มีอยู่เหนือน่านน้ำในแถบเอเชียและอาฟริกาได้สำเร็จ ก็มีสถานภาพทางการเมืองอ่อนแอกว่าสเปนมาก พระสันตปาปาจึงสามารถลดเงื่อนไขและยกเลิกสิทธิพิเศษในการอุปถัมภ์ศาสนาของกษัตริย์โปรตุเกสในเอเชียและอาฟริกาได้ตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 17 – 18 การเพิ่มอำนาจของพระสันตะปาปาในระยะแรก ดำเนินการโดยสภาพระราชาคณะแห่งกระทรวงเผยแพร่ศาสนา ( ) ซึ่งตั้งขึ้นที่กรุงโรมเมื่อ ค.ศ. 1622 ระยะต่อมาดำเนินการโดยได้รับความช่วยเหลือจากคณะสงฆ์แห่งฝรั่งเศสและมิสซังคาธอลิกอิตาเลียนแห่งเอเชียและอาฟริกา ส่วนในบราซิลนั้น อำนาจของโปรตุเกสมีความมั่นคงพอ ๆ กับอำนาจของสเปนในละตินอเมริกา ทำให้พระสันตปาปาจำต้องยอมรับสิทธิพิเศษในการอุปภัมภ์ทางศาสนา ( ) ของกษัตริย์โปรตุเกสจนกระทั่งบราซิลได้รับเอกราชไปในที่สุด พระสันตปาปาหลายต่อหลายพระองค์ต่างก็ไม่ทรงพอพระทัยต่อการที่โปรตุเกสได้รับสิทธิพิเศษในการอุปถัมภ์ทางศาสนา แต่กษัตริย์โปรตุเกสก็ได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ เพื่อพิทักษ์สิทธิอันชอบธรรมแห่ง ( ) ที่ทรงได้รับสืบทอดมานานกว่าสามร้อยปี การป้องกันสิทธิดังกล่าวของโปรตุเกส ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ ขึ้นในอินเดีย อินโดจีน จีนและดินแดนอื่น ๆ อีกหลายแห่ง ซึ่งไม่อาจนำมาอธิบายโดยสังเขปที่นี้ได้ แต่อาจจะกล่าวได้ว่า สิทธิพิเศษของกษัตริย์โปรตุเกสในการอุปถัมภ์ทางศาสนาที่อินเดีย (ในพื้นที่นอกเขตอาณานิคมของโปรตุเกส) เพิ่งจะยกเลิกไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง หลังจากถูกกดดันทางการทูตจากรัฐบาลนายเนห์รู ( )1.คณะเจซูอิต คือสถาบันทางศาสนาที่เป็นหัวหอกในการเผยแพร่ศาสนา และได้รับการอุปถัมภ์จากกษัตริย์โปรตุเกสเป็นอันดับแรก คณะเจซูอิต ( )ได้ดำเนินการเผยแพร่ศาสนาในอาณานิคมของโปรตุเกสหลังจากการประกาศตั้งคณะเมื่อ ค.ศ. 1540 ได้ไม่นานนัก ต่อมาการดำเนินการดังกล่าวของคณะเจซูอิตได้ถูกยับยั้งลงเมื่อ ค.ศ. 1760 โดยคำสั่งของปอมบาล ( ) ในช่วงเวลาเกือบสองร้อยปี (หลัง ค.ศ. 1540 – 1760 : ผู้แปล) นี้ บาทหลวงคณะเจซูอิตได้ชื่อว่าเป็นแนวหน้าในการเผยแพร่ศาสนาตั้งแต่บราซิลจนถึงญี่ปุ่น ที่มีความเสียสละยิ่งกว่าบาทหลวงคณะอื่น ๆ คณะเจซูอิตได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ให้การศึกษาแก่เยาวชนในอาณานิคมของโปรตุเกสที่ดีที่สุดและสถานศึกษาของคณะเจซูอิตได้กลายเป็นศูนย์สำคัญทางวัฒนธรรม ของดินแดนต่าง ๆ ที่ใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาพูด บาทหลวงคณะเจซูอิตเป็นทั้งครูและผู้เผยแพร่ศาสนาที่มีมาตรฐานทางความรู้ สูงกว่าบาทหลวงคณะเมนดิเกนต์ ( หรือที่เรียกกันว่าคณะโดมินิกัน ) คณะฟรานซิสกัน ( ) คณะออกุสติเนียน ( ) และคณะคาร์เมลิตส์ ( ) ซึ่งล้วนแต่มีมิตรภาพอันดีต่อกันทั้งสิ้น ยิ่งบาทหลวงคณะเจซูอิตเป็นครูที่ดีที่สุด และได้รับความเคารพจากชนชั้นผู้ดีชาวโปรตุเกส ( ) ในแผ่นดินแม่มากที่สุดเพียงใด และยิ่งได้รับเกียรติเป็นผู้ฟังการสารภาพบาปของกษัตริย์โปรตุเกสบ่อยครั้งเท่าใด บารมี อำนาจ และอิทธิพลของบาทหลวงคณะเจซูอิตก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปด้วย “ ผู้สำเร็จราชการเดินทางมาปกครองแล้วก็กลับไป แต่บาทหลวงคณะเจซูอิตยังคงอยู่กับเรา” ความรู้สึกดังกล่าวคือสิ่งที่พลเมืองชาวกัว ( ) แสดงออกมาอย่างลึกซึ้งต่อบาทหลวงคณะเจซูอิตบาทหลวงคณะเจซูอิตจำเป็นต้องรับจ้างเป็นผู้คำนวณรายรับ – รายจ่ายทางการค้า เพื่อให้การเผยแพร่ศาสนาดำเนินต่อไปได้ เช่นเดียวกับบรรดานักบวช ( )และบาทหลวง ( ) คณะอื่น ๆ ที่ทำงานอยู่ในอาฟริกาตะวันออก อันเป็นดินแดนซึ่งบาทหลวงคณะต่าง ๆ ได้รับค่าตอบแทนในการดำรงชีพเป็นสินค้าและเครื่องใช้ อาทิผ้าฝ้ายและสิ่งของที่ไม่ใช่เงินตรา นอกจากนี้คณะเจซูอิตยังเป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ในดินแดนหลายแห่ง เช่น ไร่น้ำตาลและทุ่งปศุสัตว์ในบราซิลแหล่งเพาะปลูกในอังโกลา และหมู่บ้านสวนปาล์มในอินเดีย ความมั่งคั่งที่คณะเจซูอิตได้รับจากการเป็นเจ้าของที่ดิน และการเป็นเจ้าของผลประโยชน์ในวงการค้าหลาย ๆ แห่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้คณะเจซูอิตถูกตำหนิติเตียนอย่างมุ่งร้ายและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง โดยบางโอกาสและบางสถานที่ก็มีการขุดคุ้ยหามูลฝอยมาสนับสนุนได้อย่างน่าเชื่อถือ ดังเช่น ระหว่าง ค.ศ. 1659 – ค.ศ. 1662 มีการกล่าวหาบาทหลวงคณะเจซูอิตในอังโกลา ซึ่งแม้แต่บาทหลวงคณะอื่น ๆ ในอังโกลาก็ไม่อาจรอดพ้นจากการถูกกล่าวหา ด้วยข้อหาคล้าย ๆ กันได้ ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 18 บาทหลวงคณะโดมินิกันแห่งแซมเบเซียก็ถูกกล่าวหาด้วยเช่นกัน แต่ผู้ที่กล่าวถึงเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องที่สุด คือชาวโปรเตสแตนท์ชื่อ ปีเตอร์ มุนดี ( ) หลังจากที่ได้เฝ้าดูบทบาทของบาทหลวงคณะเจซูอิต ในการเผยแพร่ศาสนาและทำงานทางด้านการศึกษาในเอเชีย ปีเตอร์ มุนดี ( ) ได้ประกาศเมื่อ ค.ศ. 1638 ว่า “หากจะกล่าวตามข้อเท็จจริงแล้วละก็บาทหลวงคณะเจซูอิตเป็นผู้ที่ประหยัดทั้งเงินทุนและแรงงาน ขยันหมั่นเพียรแต่ไม่หักโหม เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ของการทำงาน” เพื่อการสรรเสริญพระบารมีของพระเจ้า หรืออีกนัยหนึ่ง คือ บาทหลวงแห่งคณะเจซูอิตไม่เพียงแต่จะสามารถทำงานได้ดีเท่านั้น หากแต่ยังสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย1.สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่ง เกี่ยวกับการทำงานของบาทหลวงคณะเจซูอิตที่ทำให้ถูกต่อต้านอย่างรุนแรง คือการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของชาวอเมรินเดียนในบราซิล คณะเจซูอิตเป็นนักบวชคณะเดียวในบราซิลที่สนับสนุนให้ชาวอเมริเดียนต่อต้านชาวผิวขาว ซึ่งพยายามแสวงหาผลประโยชน์จากชาวอเมริเดียน และต้องการจับชาวอเมรินเดียนไปเป็นทาส ยกเว้นในบางโอกาสและสถานที่จึงจะมีบาทหลวงคณะคาปูชิน ( ) ร่วมยืนหยัดในอุดมคติเดียวกัน บาทหลวงผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของคณะเจซูอิต ชื่อบาทหลวงอันโตนิโย วิเยียรา ( ) ผู้มีชีวิตอย่างสมบุกสมบันในคริสต์วรรษที่ 17 ได้บันทึกไว้ว่า ความผิดของชาวโปรตุเกสที่กระทำต่อชาวอเมริเดียน เป็นผลให้ชาวอเมริเดียนมากกว่าสองล้านคน ในแถบลุ่มแม่น้ำอเมซอนเพียงแห่งเดียวต้องเสียชีวิตไปในช่วงเวลาสี่สิบปีแห่งการยึดครองของโปรตุเกส เรื่องราวที่บาทหลวง อันโตนิโย วิเยียราบันทึกไว้ มีลักษณะคล้ายกับเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนของบาทหลวง บาร์โธเลเม เดอ ลาส์ คาซัส ( ) ชาวสเปนแห่งคณะโดมินิกัน เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างจากงานเขียนของบาทหลวง เดอ ลาส์ คาซัส คือ บาทหลวงวิเยียราและบาทหลวงชาวโปรตุเกสคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่มักจะมองข้ามความผิดอันเกิดจากการจับชาวนิโกรไปเป็นทาส ในขณะที่มองว่าการจับชาวอเมรินเดียนไปเป็นทางเป็นสิ่งที่จะต้องต่อต้าน แต่กระนั้นบาทหลวงเหล่านี้ก็ได้คัดค้านอย่างตรงไปตรงมาต่อการกระทำอันโหดร้ายทารุณ ที่ชาวอาฟริกันได้รับจากการถูกบังคับให้ทำงานในไร่น้ำตาลที่บราซิล อันเป็นดินแดนซึ่งทางแต่ละคนจะมีชีวิตรอดอยู่ได้โดยเฉลี่ยคนละ 3 ปี เท่านั้นกษัตริย์โปรตุเกสทรงพิจารณาปัญหาความขัดแย้งเรื่องอิสรภาพของชาวอเมริเดียน ระหว่างบาทหลวงคณะเจซูอิตกับชาวผิวขาวที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณานิคมอย่างค่อนข้างลังเลพระทัย แม้ว่าในสภาวะเช่นนั้นกษัตริย์โปรตุเกสจะทรงเข้าข้างบาทหลวงคณะเจซูอิตก็ตาม กฎหมายซึ่งถูกร่างขึ้นมาอย่างต่อเนื่องที่กรุงลิสบอน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมรินเดียน มีลักษณะที่ค่อนข้างจะประนีประนอม ทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความไม่พอใจและเกิดความขัดแย้งกันในระหว่างการพิจารณา แต่ท่าทีของคณะเจซูอิต โดยเฉพาะอิทธิพลของบาทหลวงอันโตนิโย วิเยียรา ผู้เคยเป็นที่ปรึกษาระดับสูงของกษัตริย์โปรตุเกส ได้ช่วยให้บรรดาบาทหลวงของชาวอินเดียนแห่งบราซิล ( ) ในอาณานิคมของสเปนแถบอเมริกา ( ) รอดพ้นจากความเดือนร้อนได้บ้าง ข้อกล่าวหาของคณะเจซูอิตต่อการแสดงความโหดร้ายทารุณกับทาสชาวอาฟริกัน ปรากฏให้เห็นจากงานเขียนสองชิ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 18 จากการตีพิมพ์ของบาทหลวงคณะเจซูอิต งานทั้งสองเล่มประกอบด้วยเรื่องราวของทาสชาวนิโกรทั้งหมด1. คำกล่าวหาของคณะเจซูอิตซึ่งเข้าข้างชนชาติที่ถูกกดขี่นี้ ไม่มีผลโน้มน้าวจิตใจได้ดีเท่ากับงานเขียนของบาทหลวงคณะเจซูอิตชาวสแปนิช – อเมริกันชื่อ บาทหลวงอลองโซ เดอ ซัลโดวาล ( ) งานเขียนของเขา “......... ” ตีพิมพ์ที่เซวิลล์ ( ) เมื่อ ค.ศ. 1627 คาดหมายเหตุการณ์ล่วงหน้าหลายเรื่องเกี่ยวกับการโต้แย้งของพวกที่นิยมการเลิกทาสชาวแองโกลแซกซอน ( )ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งความล่อแหลมในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ หลายอย่างที่มีฐานะของจักรวรรดิโปรตุเกส ปัจจัยสำคัญที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ คือความเสื่อมโทรมและการลดจำนวนอาณานิคมโปรตุเกสในตะวันออก การเพิ่มความสำคัญของบราซิลและอังโกลา ความสูญเสียจากการปราชัยซึ่งโปรตุเกสได้รับ ระหว่างการรบกับดัทช์ในเอเชียนานถึงหกสิบปี เป็นสิ่งที่เร่งเร้าให้ศัตรูของโปรตุเกสชาติอื่น ๆ โจมตีอาณานิคมที่กำลังอ่อนแอของโปรตุเกสในแถบตะวันออก เมื่อสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 17 ชาวอาหรับแห่งโอมาน ( ) ประสบความสำเร็จในการพัฒนาอำนาจทางทะเลขึ้นมา จึงไม่เพียงแต่จะรบกวนโปรตุเกสในอ่าวเปอร์เซียและดินแดนชายฝั่งทะเลทางทิศตะวันตกของอินเดียเท่านั้น หากแต่ยังช่วงชิงเอามอมบาซา ( ) ไปจากโปรตุเกส และคุกคามโมแซมบิกของโปรตุเกสอีกด้วย ความพยายามของโปรตุเกสในการปราบปรามการลุกฮือของชาวโอมานี ( ) ต้องประสบกับอุปสรรคจากการขยายอำนาจของแคว้นมาระตะ ( ) ในอินเดีย ซึ่งขยายตัวเข้ามาใกล้เมืองกัวมากจนทำให้โปรตุเกสวิตกกังวล สงครามอันยาวนานและผลพวงจากความเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจ เป็นเครื่องแสดงว่า มิได้เหนี่ยวรั้งความดึงดูดใจของโปรตุเกสอีกต่อไป ดังเช่นเมื่อครั้งหนึ่งนั้น เคยมีความสำคัญเทียบเท่ากับกรุงลิสบอนเลยทีเดียวต้นปี ค.ศ. 1645 ชาวโปรตุเกสผู้หนึ่ง ซึ่งรู้จักบราซิลอย่างดีได้บันทึกไว้ว่า ไม่มีภูมิภาคใดในโปรตุเกส ( ) ที่อุดมสมบูรณ์ อยู่ใกล้อำนาจทางการเมือง มีทาสดีและมีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยยิ่งกว่าบราซิล ชาวโปรตุเกสที่ตกทุกข์ได้ยากในมาตุภูมิ จึงควรจะเดินทางไปยังบราซิล 1.ข้อความในบันทึกข้างต้นเขียนขึ้นก่อนที่ดินแดนเกือบครึ่งหนึ่งของบราซิล จะตกอยู่ภายใต้การยึดครองของดัทช์ อีกสิบปีต่อมาหลังจากการขับไล่ผู้รุกรานนอกรีต (ชาวดัทช์ : ผู้แปล) และ หลังจากการฟื้นตัวของตลาดน้ำตาลแล้ว การอพยพออกจากโปรตุเกสยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ครั้นในช่วงทศวรรษ ค.ศ. 1680 ปรากฏว่ามีชาวโปรตุเกสอพยพออกจากมาตุภูมิไปยังบราซิลประมาณ 2,000 คน ผู้อพยพส่วนใหญ่เดินทางไปบราซิลด้วยความสมัครใจ ตรงกันข้ามกับกองเรือโปรตุเกสที่เดินทางไปยังอินเดียในช่วงนั้น ซึ่งบรรทุกแต่พวกที่ถูกเนรเทศ ( ) นักโทษ ( ) และคนเดนคุก ( ) ที่ถูกเกณฑ์เป็นทหาร ดังนั้นในแต่ละปีจึงไม่บ่อยนักที่จะมีผู้เดินทางไปยังอินเดียเกินกว่า 1,000 คน ผู้หญิงผิวขาวที่อพยพไปยังบราซิลมีจำนวนไม่มากนัก แต่การเดินทางช่วงสั้น ๆ และง่าย ๆ เช่นนี้ ทำให้จำนวนของผู้หญิงที่เดินทางไปบราซิลมีมากกว่าผู้หญิงที่ลงเรือเดินทางไปยังอินเดีย ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางที่ยาวนานและเต็มไปด้วยภยันตรายเป็นอย่างยิ่งกษัตริย์ฟรังซัวร์ที่ 1 ( ) แห่งฝรั่งเศส ได้ทรงขนามพระนามแห่งกษัตริย์มานูเอลที่ 1 ( ) อย่างดูถูกเหยียดหยามว่า “ .........หรือ (กษัตริย์ผู้ค้าของชำ อีกหนึ่งร้อยห้าสิบปีต่อมาพระนามนี้ก็ไม่อาจนำมาใช้ได้อีกต่อไปกับกษัตริย์ดอม โจอาวที่ 4 ( ) ผู้ทรงได้รับพระนามว่า “ .......” กษัตริย์ดอม โจอาวที่ 4 ยังทรงตั้งชื่อให้แก่บราซิลด้วยพระองค์เองว่า บราซิลคือ “ ........หรือ (วัวนม) ส่วนพระองค์ บราซิลเป็นแหล่งน้ำตาล ยาสูบ ไม้ฝาง ( )1. และผลิตผลอื่น ๆ จากพืชเมืองร้อน ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้โปรตุเกสสามารถสนับสนุนกองทัพในการป้องกันชายแดนให้พ้นจากการรุกรานของสเปน และเป็นปัจจัยที่ทำให้โปรตุเกสได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศสและอังกฤษ