 “แผนที่แสดงชุมชนหลากหลายเชื้อชาติที่กรุงศรีอยุธยาค.ศ.1688(พ.ศ.2231)”ของลาลูแบร์เอื้อเฟื้อจากhttp://www.southeastasianarchaeology.com ขอขอบคุณอย่างยิ่ง
จากหลักฐานแผนที่ซึ่งเขียนโดยชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาหลายฉบับ อาทิ แผนที่อยุธยาของบาทหลวงคูร์โตแลง(Père Courtaulin)ชาวฝรั่งเศสที่เข้ามากรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ แสดงให้เห็นว่าค่ายโปรตุเกสในอดีตมีพื้นที่คล้ายรูปสามเหลี่ยม แต่การสำรวจเพื่อทำแผนผังประกอบการขุดแต่งโบราณสถานโบสถ์ซานเปโตรในปีพ.ศ.2527(ค.ศ.1983) แสดงลักษณะทางกายภาพของหมู่บ้านโปรตุเกสคล้ายรูปฝักมะขามตามสภาพการตั้งชุมชนปัจจุบันที่ขนานไปตามริมน้ำ และคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ โดยมีขนาดกว้างประมาณ 170 เมตร ยาวประมาณ 2000 เมตร และมีขอบเขตพื้นที่ดังนี้
ทิศเหนือ จรดวัดใหม่บางกระจะ
ทิศตะวันออก จรดแม่น้ำเจ้าพระยา มีอนุสรณ์สถานหมู่บ้านญี่ปุ่นตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องไปทางตะวันออกเฉียงใต้
ทิศใต้ จรดบ้านสะพานขาวอันเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวไทยมุสลิม
ทิศตะวันตก เคยมีสภาพเป็นท้องนามีคูน้ำคั่น ปัจจุบันมีสุเหร่า สนามฟุตบอลและชุม
ชนมุสลิมขยายตัวหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆริมถนนสายวัดไก่เตี้ย-สะพานขาว
“แผนที่แสดงชุมชนหลากหลายเชื้อชาติที่กรุงศรีอยุธยา ค.ศ.1688(พ.ศ.2231)” ซึ่งตีพิมพ์ในจดหมายเหตุของมองซิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ทำให้แลเห็นชัดเจนว่า ในสมัยอยุธยาชุมชนโปรตุเกสตั้งอยู่ท่ามกลางชุมชนนานาชาติ ได้แก่ ชุมชนจีน(ซึ่งมีทั้งในเกาะเมืองและนอกเกาะเมือง) ชุมชนโคชินจีน(เวียดนาม) ชุมชนมาเลย์ ชุมชนมากัสซาร์และชุมชนพะโค ส่วนทางฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาประกอบด้วยชุมชนอังกฤษ ชุมชนฮอลันดา ชุมชนญี่ปุ่นและชุมชนจีนไล่ลงมาตามลำดับ ซึ่งรวมถึงชุมชนชาวสยามซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ในเมืองพระนครศรีอยุธยา
 “แผนที่แสดงชุมชนหลากหลายเชื้อชาติที่กรุงศรีอยุธยาค.ศ.1688(พ.ศ.2231)”ของลาลูแบร์เอื้อเฟื้อจากhttp://www.southeastasianarchaeology.com ขอขอบคุณอย่างยิ่ง
จากหลักฐานแผนที่ซึ่งเขียนโดยชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาหลายฉบับ อาทิ แผนที่อยุธยาของบาทหลวงคูร์โตแลง(Père Courtaulin)ชาวฝรั่งเศสที่เข้ามากรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ แสดงให้เห็นว่าค่ายโปรตุเกสในอดีตมีพื้นที่คล้ายรูปสามเหลี่ยม แต่การสำรวจเพื่อทำแผนผังประกอบการขุดแต่งโบราณสถานโบสถ์ซานเปโตรในปีพ.ศ.2527(ค.ศ.1983) แสดงลักษณะทางกายภาพของหมู่บ้านโปรตุเกสคล้ายรูปฝักมะขามตามสภาพการตั้งชุมชนปัจจุบันที่ขนานไปตามริมน้ำ และคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ โดยมีขนาดกว้างประมาณ 170 เมตร ยาวประมาณ 2000 เมตร และมีขอบเขตพื้นที่ดังนี้
ทิศเหนือ จรดวัดใหม่บางกระจะ
ทิศตะวันออก จรดแม่น้ำเจ้าพระยา มีอนุสรณ์สถานหมู่บ้านญี่ปุ่นตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องไปทางตะวันออกเฉียงใต้
ทิศใต้ จรดบ้านสะพานขาวอันเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวไทยมุสลิม
ทิศตะวันตก เคยมีสภาพเป็นท้องนามีคูน้ำคั่น ปัจจุบันมีสุเหร่า สนามฟุตบอลและชุม
ชนมุสลิมขยายตัวหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆริมถนนสายวัดไก่เตี้ย-สะพานขาว
“แผนที่แสดงชุมชนหลากหลายเชื้อชาติที่กรุงศรีอยุธยา ค.ศ.1688(พ.ศ.2231)” ซึ่งตีพิมพ์ในจดหมายเหตุของมองซิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ทำให้แลเห็นชัดเจนว่า ในสมัยอยุธยาชุมชนโปรตุเกสตั้งอยู่ท่ามกลางชุมชนนานาชาติ ได้แก่ ชุมชนจีน(ซึ่งมีทั้งในเกาะเมืองและนอกเกาะเมือง) ชุมชนโคชินจีน(เวียดนาม) ชุมชนมาเลย์ ชุมชนมากัสซาร์และชุมชนพะโค ส่วนทางฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาประกอบด้วยชุมชนอังกฤษ ชุมชนฮอลันดา ชุมชนญี่ปุ่นและชุมชนจีนไล่ลงมาตามลำดับ ซึ่งรวมถึงชุมชนชาวสยามซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ในเมืองพระนครศรีอยุธยา 
จดหมายเหตุของมองซิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ (M. de La Loubère) เรียกชุมชนโปรตุเกสว่า “ค่ายโปรตุเกส-Camp of Portuguese” ซึ่งตรงกับภาษามาเลย์ว่า “Campong” และธีรวัติ ณ ป้อมเพชรใช้ว่า“Campo” แปลว่า “บ้าน” หรือ “หมู่บ้าน” ในภาษาสยาม ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าคำดังกล่าวอาจสัมพันธ์กับคำว่า “Camp- ค่าย” และในคำประกาศเกียรติคุณของชาวโปรตุเกสที่ร่วมศึกพระยาตากข้บไล่ทหารพม่าออกจากสยามเมื่อพ.ศ.2310(ค.ศ.1767) เรียกที่ตั้งของชุมชนโปรตุเกสที่กรุงธนบุรีว่า “ Bandel หรือ Bamdel dos Portuguezes” แปลว่า “บ้านของชาวโปรตุเกส” อันอาจสะท้อนให้เห็นถึงปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมก่อนหน้านั้นได้เช่นกัน
ผู้ปกครองชาวโปรตุเกสในเมืองพระนครศรีอยุธยามีตำแหน่งเป็นกะปิเตา-มูร์(Capitao-mor) ซึ่งในเอกสารฝ่ายสยามเรียกว่า นายอำเภอโปรตุเกส อันเป็นฐานะเช่นเดียวกับนายอำเภอจีนหรือนายอำเภอญี่ปุ่นหรือนายอำเภออังกฤษ สังฆราชปัลเลอร์กัวอธิบายว่า "เป็นตำแหน่งฝ่ายนครบาล ควบคุมราษฎรชั่วเขตหมู่บ้านหนึ่ง"(ปชพ.ล.๑๓น.๑๗๗) และเป็นตำแหน่งหัวหน้าคนต่างชาติในสยามด้วย โดยนายอำเภอจะทำหน้าที่คล้ายกงศุลดูแลผลประโยชน์ของชนชาติตน(ปชพ.ล.๑๓น.๑๘๑) ศิลปะนันบัน(Nan Ban Art) หรือ ศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากคนเถื่อนแห่งแดนใต้, 1549-1614)ของญี่ปุ่นแสดงการเดินทางอย่างโอ่อ่าของกะปิเตา-มูร์โปรตุเกสผ่านย่านเศรษฐกิจในเมือง 
แผนที่ของกูร์โตแลง(JEAN DE COURTAULIN DE MAGUELLON,1686) อ้างจาก www.ayutthaya history research.com ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง
 แผนที่ของกูร์โตแลงระบุข้อความว่า "quartier des Portugais" แปลว่า "อำเภอโปรตุเกส" อย่างชัดเจน เป็นการยืนยันผ่านเอกสารแผนที่ฉบับนี้ว่า ทางการสยามยอมรับว่า ค่ายโปรตุเกสมีฐานะเป็นอำเภอ(ภาพจากสบายดอทคอม ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง)
แผนที่ของกูร์โตแลงระบุข้อความว่า "quartier des Portugais" แปลว่า "อำเภอโปรตุเกส" อย่างชัดเจน เป็นการยืนยันผ่านเอกสารแผนที่ฉบับนี้ว่า ทางการสยามยอมรับว่า ค่ายโปรตุเกสมีฐานะเป็นอำเภอ(ภาพจากสบายดอทคอม ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง) 
หมู่บ้านโปรตุเกสหรือค่ายโปรตุเกส อันเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวโปรตุเกสและคนเชื้อสายโปรตุเกสในสมัยอยุธยา มีชื่อเรียกในพระราชพงศาวดารว่า “บ้านดิน”[1] ตั้งอยู่ที่ประมาณพิกัด 47 P.P.R. 844698 หรือประมาณละติจูดที่ 14 องศา 19 ลิบดา 38 พิลิบดาเหนือ ลองติจูดที่ 100 องศา 34 ลิบดา 30 พิลิบดาตะวันออก[2] ที่ตั้งปัจจุบันมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มทางตอนใต้นอกเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ทิศตะวันออกฝั่งด้านตรงข้ามของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นที่ตั้งของค่ายญี่ปุ่นหรืออนุสรณ์สถานหมู่บ้านญี่ปุ่น ทิศเหนือจรดกับวัดใหม่บางกระจะมีคูน้ำตัดจากแม่น้ำเจ้าพระยาไปเชื่อมกับคูน้ำทางทิศตะวันตก ทิศใต้เป็นที่ตั้งของชุมชนมุสลิมบ้านสะพานขาว มีคูน้ำคั่นแบ่งเขตชุมชน
หลักฐานของลาลูแบร์ และแกมเฟอร์ ระบุตรงกันว่า ชาวโปรตุเกสหรือชาวต่างชาติอื่นๆ เรียกหมู่บ้านของตนว่า “ค่าย” หรือ “Camp”[3] ในภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส ตรงกับภาษาโปรตุเกสว่า “Campo”[4] บาทหลวงมานูเอล ไตไซรา เรียกชุมชนโปรตุเกสว่า "Campo Português(ค่ายโปรตุเกส)" หรือซึ่งตรงกับความหมายในภาษามะลายูว่า "Bandel Português" คำว่า "bandel" มาจาก "bandar" ในภาษามะลายู แปลว่า "porto - ท่าเรือ , อ่าว" หรือ ซึ่งตรงกับคำว่า"cais - ท่าเทียบเรือ , สะพานหินเทียบเรือ" ในภาษาโปรตุเกส บาทหลวงไตไซราระบุว่า ในมะละกายังมีสถานที่ชื่อ บันดา ฮิลีร์ (Banda Hilir) ปรากฏอยู่ เป็นหลักฐานยืนยันที่มาของคำว่า "Banda" ในภาษามะลายู
"ค่าย โปรตุเกส - bandel / bandar português" มีหัวหน้าเรียกว่า "กะปิเตา มูร์ - capitã mor"[5] "กะปิเตา มูร์" หมายถึงกัปตันหมู่(บ้าน) หรือหัวหน้าหมู่ (บ้าน) ซึ่งก็ตรงกับคำอธิบายของบาทหลวงไตไซรา ที่ชี้ว่ากะปิเตาของบันดาถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ชาบันดา (Xabanda) คำ "ชา(Xa) แปลว่า Capitao " บันดา(banda) แปลว่า porto"[6] ตรงกับความหมายในภาษาไทยว่า "นายท่า(เรือ)" บาทหลวงไตไซราระบุว่าชาวสยามเรียกชุมชนค่ายโปรตุเกสว่า "บ้านฝรั่ง" คำว่าฝรั่งนี้เดิมเป็นคำเรียกที่ชาวเอเชียทั่วไปชาวโปรตุเกสมาก่อน เมื่อชาวคริสต์ชนชาติอื่นเดินทางเข้ามาในภูมิภาคตะวันออก จึงถูกเรียกรวมๆกันว่า Franchi , Paranghi , Feranghi , Firingi , Fereng หรือ Ferang ในจีนก็มีคำเรียกชาวคริสต์ว่า Fulanki หรือ Fulanchi[7] เช่นกัน [1]หอสมุดวชิรญาณ, ประชุมพงศาวดารภาคที่ 27 (พระนคร:โสภณพิพรรฒนากร, 2465), หน้า7. [2] กรมแผนที่ทหาร, จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศ ระวาง 5137 – IV, ลำดับชุด L 7017 พิมพ์ครั้งที่1 RTSD. [3] ชิมอง เดอ ลาลูแบร์, จดหมายเหตุลาลูแบร์ ฉบับสมบูรณ์ เล่ม 1 , หน้า 499 และ Kaempfer, The History of Japan together with a Description of the Kingdom of Siam 1690-92 , Vol. I-III ( New York : AMS Press Inc, 1971), P.36 [4] Mike Harland, The Collins Portuguese Pocket Dictionary , p.134 [5] P. Manuel Teixeira, Portugal na Tailandia ( Macau : Imprensa nacional de Macau, 1983), p.63. [6] Ibid., p.63. [7] Ibid., p.63.
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น